ประกาศราคาอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับ 2021 Haval H6 (2021 ฮาวาล เอช6) สร้างกระแสฮือฮาจากผู้ใช้รถยนต์ชาวไทยที่รอฟังตัวเลขกันมาเนิ่นนาน
Great Wall Motor หรือ GWM (เกรท วอลล์ มอเตอร์) มีแผนการสุดทะเยอทะยานในการจัดจำหน่ายรถยนต์ไฮบริด นำโดย H6 HEV ที่ออกขายในไทยเป็นแห่งแรกในโลกที่จะเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น เพราะค่ายรถยักษ์ใหญ่จากจีนยังมีรถยนต์ขุมพลังลูกผสมอีกหลายรุ่นที่กำลังทยอยตามมาในอนาคตอันใกล้
ปัจจุบัน Toyota ถือเป็นค่ายรถผู้นำระบบไฮบริดบนเวทีโลก ทั้งในแง่การเป็นผู้บุกเบิกตลาดและการมียอดขายสะสมสูงที่สุด แต่ค่ายรถยักษ์ญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับคู่แข่งจากแดนมังกรที่พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนอย่าง GWM ซึ่งเพียบพร้อมจุดแข็ง ดังต่อไปนี้
1. การดำเนินงานที่รวดเร็วของ GWM
2021 Haval H6 HEV เป็นรถลูกผสมไฮบริดรุ่นแรกที่ GWM นำเสนอสู่หลายประเทศทั่วโลก รวมถึงไทย ออสเตรเลีย และเกือบทั่วทั้งอาเซียน โดยขึ้นสายการผลิตที่โรงงานในจังหวัดระยอง ซึ่งเคยเป็นศูนย์การผลิตรถยนต์ Chevrolet และ Holden ของ General Motors (GM) มาก่อน
GWM เพิ่งซื้อโรงงานดังกล่าวเมื่อปีที่แล้วและทำการปรับปรุงสายการผลิตใหม่หมดจดก่อนเริ่มการผลิตรถเอสยูวี-ซี H6 ภายในเวลาเพียงปีเศษเท่านั้น ถือเป็นการดำเนินงานที่รวดเร็วสายฟ้าแลบตามสไตล์บริษัทจากจีนแผ่นดินใหญ่
ถึงแม้พวกเขาจะเปิดราคา H6 HEV ค่อนข้างช้าจนมีเสียงบ่นว่าเล่นตัวบ้างหรือเลี้ยงกระแสนานเกินไปบ้าง แต่แท้จริงแล้ว กำหนดการประกาศราคาดังกล่าวอยู่ในไทม์ไลน์ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
นอกจากนี้ GWM ยังมีแนวทางการดำเนินงานที่เรียกว่า “Fast Iterative Development Approach” ซึ่งย่นระยะเวลาการพัฒนาหรือปรับปรุงผลิตภัณฑ์จากปกติ 12-24 เดือนให้เหลือ 6-12 เดือนเท่านั้น ซึ่งสตีฟ แมคไอเวอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรของ GWM Australia เผยว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายได้มากขึ้น
แน่นอนว่า H6 จะไม่ใช่แค่รุ่นแรก GWM ยังเตรียมนำเสนอรถพลังงานทางเลือกอีกหลายรุ่นนอกเหนือจากไฮบริดแล้วยังมีรถพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ 100% อีกด้วยตามแผนการที่เคยประกาศไว้ว่าจะจำหน่ายรถยนต์ในไทยมากถึง 9 รุ่นภายใน 3 ปี ที่น่าสนใจก็คือทั้ง 9 รุ่นนั้นจะเป็นรถใหม่เอี่ยมแบบ All New ไม่ใช่การปรับไมเนอร์เชนจ์อีกด้วย
หลังจากเปิดตัว H6 แล้ว นับจากนี้ยังเหลืออีก 8 รุ่นซึ่งจะมีโมเดลอะไรบ้างนั้นน่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง
2. เทคโนโลยีไฮบริดที่ล้ำสมัย ยืดหยุ่นและไม่น้อยหน้าใคร
ปัจจุบัน GWM ถือครองสิทธิบัตรเกี่ยวกับระบบไฮบริดมากถึง 199 ฉบับ ซึ่งทั้งหมดพวกเขาพัฒนาขึ้นมาเองภายในองค์กร รองรับทั้งรถยนต์ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าและระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
ระบบขับเคลื่อนไฮบริด Dedicated Hybrid Transmission หรือ DHT ของ GWM ยังมีพละกำลังแตกต่างกันอย่างน้อย 3 ระดับ ซึ่งเหมาะสำหรับการใช้งานในรถยนต์หลากหลายประเภท
|
ระบบ |
รถยนต์ที่รองรับ |
คุณสมบัติ |
ระบบ 1.5L DHT 100 |
รถเอสยูวี-บี และรถซับคอมแพ็กต์ |
พละกำลังอย่างน้อย 134 แรงม้า แรงบิดอย่างน้อย 250 นิวตันเมตร ประหยัดอย่างน้อย 21.4 กม.ต่อลิตร |
ระบบ 1.5T DHT130 P2 |
รถเอสยูวี-ซี และรถคอมแพ็กต์ |
พละกำลังอย่างน้อย 174 แรงม้า แรงบิดอย่างน้อย 300 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม.ต่อชม. ใน 7.5 วินาที |
ระบบ 1.5T DHT130 P4 |
รถเอสยูวีขนาดใหญ่และรถกระบะ |
กำลังอย่างน้อย 200 แรงม้า แรงบิดอย่างน้อย 300 นิวตันเมตร |
ระบบไฮบริดของ GWM พัฒนาบนแพลตฟอร์ม L.E.M.O.N. มีคุณสมบัติสำคัญคือความทรงพลัง เสียงรบกวนที่เงียบสงบ และแรงสั่นสะเทือนลดลง โดย H6 ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า มีพละกำลังสูงสุด 243 แรงม้า และมีแรงบิดถึง 530 นิวตันเมตรเลยทีเดียว
3. สมรรถนะเหนือชั้น ประหยัด และที่สำคัญ - ถูก!
นอกจากความยืดหยุ่น ไฮไลท์สำคัญในระบบไฮบริดของ GWM คือความสามารถในการขับเคลื่อนตัวรถให้โลดแล่นด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วน ๆ เหมือนกับ Toyota ซึ่งให้ประโยชน์อย่างยิ่งในแง่ความประหยัดเชื้อเพลิงและความราบรื่นในการขับขี่ความเร็วต่ำ
ตามปกติแล้ว มอเตอร์ไฟฟ้าและระบบไฮบริดใน Mazda, Subaru และ Honda มีหน้าที่ช่วยเพิ่มสมรรถนะการขับขี่ แต่สำหรับระบบไฮบริดของ GWM จะขับเคลื่อนตัวรถด้วยไฟฟ้าที่ความเร็วต่ำหรือประมาณไม่เกิน 40 กม.ต่อชม. ซึ่งเหมาะสำหรับการเดินทางในเมือง หลังจากนั้นเครื่องยนต์จะรับหน้าที่ขับเคลื่อนตัวรถต่อเมื่อความเร็วสูงขึ้น
ขณะที่ระบบปลั๊กอินไฮบริดของ GWM ก็มีมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ที่ช่วยขับเคลื่อนตัวรถได้ไกลสูงสุดถึง 200 กม.ต่อการชาร์จไฟเต็มหนึ่งครั้ง เรียกว่าน้อง ๆ รถยนต์ไฟฟ้าล้วนกันเลยทีเดียว
ที่สำคัญที่สุดก็คือ GWM สามารถทำราคาจำหน่ายได้ย่อมเยาอย่างน่าเหลือเชื่อจนชวนให้คิดว่าพวกเขากำลัง “กลืนเลือด” เพื่อสร้างส่วนแบ่งการตลาดในช่วงเริ่มต้นหรือไม่ ราคาค่าตัวของ Haval H6 เคาะเริ่มต้นเพียง 1,149,000 – 1,249,000 บาทเท่านั้น
ระดับราคาดังกล่าวใกล้เคียงกับตัวท็อปของรถเอสยูวี-บีที่มีขนาดเล็กกว่าอย่าง Toyota Corolla Cross ที่เคาะ 1,199,000 บาท ต่างกันเพียง 5 หมื่นบาทเท่านั้น