SVOLT GWM เอสโวลท์ เกรทวอลล์มอเตอร์
![SVOLT ในเครือ GWM ประเทศจีน ทุ่ม 1.2 พันล้านบาทผลิตแบตเตอรี่ในไทย เล็งขยายธุรกิจ-ส่งออกในอนาคต 01]()
- ลงทุนพันล้านเปิดสายการผลิตแบตเตอรี่
- โรงงานในไทยเป็นประเทศที่ 3 ในโลก
- พร้อมเป็นฐานบุกตลาดอาเซียนในอนาคต
SVOLT (เอสโวลท์) บริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ (NEV) และแบตเตอรี่สำรองพลังงาน (ESS) ในเครือ Great Wall Motor (เกรทวอลล์มอเตอร์) ประเทศจีน ประกาศทุ่มงบ 250 ล้านหยวน (ประมาณ 1.2 พันล้านบาท) เปิดสายการผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าทุกรูปแบบในประเทศไทย โดยจะพร้อมเดินหน้าเปิดสายการผลิตในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 นี้
ทั้งนี้ เอสโวลท์เพิ่งตัดสินใจลงทุนในประเทศไทยในช่วงต้นปีที่ผ่านมา และได้ทำการปรับปรุงโรงงานที่จังหวัดชลบุรีในเดือนมิถุนายน และคาดว่าจะใช้เวลาในการจัดการสายการผลิต 8 เดือน ก่อนเปิดสายการผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ด้วยกำลังการผลิต 6 หมื่นชุดในปีแรก ขณะที่แบตเตอรี่สำรองพลังงานนั้น อยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตร และคาดว่าจะได้ข้อสรุปในไตรมาส 3
"สำหรับแบตเตอรี่เอ็นอีวีนั้น ลูกค้าในประเทศไทยขณะนี้เจรจาจบแล้ว 2 ราย ได้แก่ GWM และ Hozon (ฮอซอน) ซึ่งเรามองไปถึงการขยายธุรกิจไปกลุ่มรถเล็กอย่างจักรยานยนต์ 2 ล้อและ 3 ล้อในอนาคต ซึ่งนอกจากการลงทุนเบื้องต้นแล้ว ทางเอสโวลท์ยังได้เตรียมพื้นที่สำหรับการขยายธุรกิจในอนาคต หากมีลูกค้าเพิ่มขึ้นหรือมีการขยายธุรกิจอื่น ๆ เพิ่มเติม" หยาง หงซิน ซีอีโอของเอสโวลท์ กล่าว
ถือเป็นค่ายแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้ารายแรกที่ลงทุนในประเทศไทยเลยก็ว่าได้...
![SVOLT ในเครือ GWM ประเทศจีน ทุ่ม 1.2 พันล้านบาทผลิตแบตเตอรี่ในไทย เล็งขยายธุรกิจ-ส่งออกในอนาคต 01]()
โรงงานในประเทศที่ 3 ของเอสโวลท์ทั่วโลก
เอสโวลท์ถือเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์รายใหญ่ของประเทศจีน ที่โดดเด่นในเรื่องของการพัฒนาสินค้าที่มีความเหมาะสมกับความต้องการของลูกค้า โดยก่อนหน้านี้ พวกเขาเคยเปิดโรงงานนอกประเทศจีนเพียงแห่งเดียวในประเทศเยอรมนี และมีลูกค้าอย่าง BMW (บีเอ็มดับเบิลยู) และกลุ่ม Stellantis (สเตลแลนทิส) ขณะที่โรงงานในประเทศไทยจะเป็นโรงงานในต่างประเทศแห่งที่ 2 ซึ่งแน่นอนว่าคนที่เชิญชวนให้เอสโวลท์เข้ามาในประเทศไทยจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก GWM ที่คุยเอาไว้ตั้งแต่ปี 2564
![SVOLT ในเครือ GWM ประเทศจีน ทุ่ม 1.2 พันล้านบาทผลิตแบตเตอรี่ในไทย เล็งขยายธุรกิจ-ส่งออกในอนาคต 02]()
ขยายตลาดไทย พร้อมมองส่งออกในอาเซียน
นอกเหนือจากการเปิดสายการผลิตที่ประเทศไทยด้วยกำลังผลิต 6 หมื่นชุดในเฟสแรก และพร้อมที่จะขยายเพิ่มเป็น 1.18 แสนชุดในเฟสที่ 2 โดยสินค้าที่ทำตลาดจะมีทั้งแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฮบริด รวมถึงแบตเตอรี่ขนาดใหญ่สำหรับรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้า และจะขยายไปยังแบตเตอรี่สำรองพลังงานได้ในอนาคต ซึ่งนอกจากประเทศไทยแล้ว เอสโวลท์ตั้งเป้าหมายที่จะเปิดตลาดอาเซียน อาทิ เวียดนามและอินโดนีเซียเพิ่มในอนาคต ซึ่งต้องขึ้นกับสินค้าที่เหมาะสมกับแต่ละตลาดในอนาคต
![SVOLT ในเครือ GWM ประเทศจีน ทุ่ม 1.2 พันล้านบาทผลิตแบตเตอรี่ในไทย เล็งขยายธุรกิจ-ส่งออกในอนาคต 03]()
พร้อมทำธุรกิจครบวงจรยันการรีไซเคิล
แน่นอนว่าผู้ผลิตแบตเตอรี่หลายรายจะต้องทำธุกิจแบบครบวงจร ซึ่งก็รวมไปถึงการรีไซเคิลแบตเตอรี่รถยนต์ ที่อาจจะต้องใช้งบลงทุนตั้งแต่ 20-700 ล้านหยวน (ประมาณ 96-3,300 ล้านบาท) แล้วแต่เทคโนโลยีที่นำมาใช้ในการรีไซเคิล และเอสโวลท์ก็มองถึงการทำธุรกิจนี้เช่นกัน แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจกรอบเวลาการลงทุน เนื่องจากแบตเตอรี่นั้น จะมีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3-15 ปีก่อนรีไซเคิล และจำเป็นที่จะต้องศึกษากฎและข้อบังคับด้านการรีไซเคิลแบตเตอรี่ โดยเฉพาะเรื่องการนำเข้า-ส่งออกแบตเตอรี่เก่าอีกด้วย
![SVOLT ในเครือ GWM ประเทศจีน ทุ่ม 1.2 พันล้านบาทผลิตแบตเตอรี่ในไทย เล็งขยายธุรกิจ-ส่งออกในอนาคต 04]()
แม้จะมาจากจีน แต่ไม่ได้เน้นแต่ลูกค้าจีนนะ
เอสโวลท์เป็นหนึ่งในผู้ผลิตแบตเตอรี่จากประเทศจีนที่มีการขยายตลาดไปหลายแห่งทั่วโลก โดยพวกเขามีโรงงานมากถึง 13 แห่ง พร้อมด้วยศูนย์วิจัยและพัฒนาอีก 9 แห่ง ซึ่งมีฐานลูกค้าทั้งในยุโรป สหรัฐอเมริกาและหลายประเทศในเอเชีย ซึ่งหากคิดเป็นแบรนด์ก็จะมีลูกค้ามากกว่า 30 รายทั่วโลก ในส่วนของประเทศไทย แม้จะเริ่มต้นจากการทำตลาดให้ลูกค้าจากประเทศเดียวกัน แต่ก็มองถึงความเป็นไปได้ในการขยายไปตลาดใหม่ โดยเฉพาะผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่น ที่เดินหน้าทำตลาดรถยนต์ไฮบริดเพิ่มมากขึ้น
![SVOLT ในเครือ GWM ประเทศจีน ทุ่ม 1.2 พันล้านบาทผลิตแบตเตอรี่ในไทย เล็งขยายธุรกิจ-ส่งออกในอนาคต 05]()
ชี้ราคาแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าจะถูกลงในอนาคต
หยางประเมินสถานการณ์ของราคาจำหน่ายแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ว่าภายใน 5 ปีข้างหน้าราคาน่าจะถูกลงไปอย่างแน่นอน โดยอิงจากสถิติย้อนหลังด้านราคาจำหน่ายแบตเตอรี่ในประเทศจีน ที่พบว่าราคาถูกลงไปกว่า 80% ในรอบ 8 ปีหลังสุด ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ต้นทุนในการพัฒนาและผลิตได้ลดลง แต่ก็ต้องดูในเรื่องการพัฒนาแบตเตอรี่ให้มีความสามารถในการกักเก็บไฟฟ้าที่มากขึ้น รวมถึงการเลือกใช้วัสดุอื่น ๆ มาประกอบว่าจะส่งผลกับราคาอย่างไร แต่คิดว่าอยู่ในทิศทางที่ราคาจะถูกลง
สอดคล้องกับความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคตเช่นกัน...