Tesla และบริษัทประกันภัย ดูท่าทางจะมีมุมมองการเคลมรถยนต์ที่เสียหายต่างกัน เพราะอย่างที่เราทราบกันว่าถึงแม้รถไฟฟ้าจะไม่จำเป็นต้องดูแลรักษาเยอะ แต่ก็ยังมีค่าซ่อมที่ยังแพงมาก

จนบางครั้งบริษัทประกันก็ไม่ยอมซ่อมให้ เพราะค่าซ่อมมีราคาถึง 80% ของตัวรถ

Tesla CEO Elon Musk กล่าวว่าพวกเขากำลังวางแผนการเปลี่ยนแปลงการออกแบบและซอฟท์แวร์เพื่อช่วยลดค่าซ่อมหลังเกิดอุบัติเหตุ

ส่วนบริษัทประกันเลือกที่จะตีเป็นการตัดหนี้สูญ (Write off) โดยเฉพาะรถไมล์น้อย ก่อนจะถูกส่งไปประมูลขายซาก เพราะพวกเขามองว่ารถยนต์ไฟฟ้ามีค่าซ่อมที่แพงเกินไป

สำนักข่าว Reuters รายงานว่า Musk กล่าวว่าเบี้ยประกันจากผู้ให้ประกันภัย “บางครั้งก็สูงเกินไปอย่างไม่มีเหตุผล” 

เพื่อแก้ปัญหานี้ แผนกประกันภายในของ Tesla เองก็กำลังกดดันผู้ให้ประกันด้วยการเสนอจะลดเบี้ยของเจ้าของรถ นอกจากนี้พวกเขายังต้องการที่จะลดค่าซ่อมตัวรถหากเกิดการชนด้วยการเปลี่ยนการออกแบบรถ

“มันน่าสนใจมากว่าถาหากเราทำการเปลี่ยนการออกแบบที่กันชนหน้าเพียงเล็กน้อย และการจัดหาชิ้นส่วนอะไหล่ที่จำเป็นสำหรับการซ่อมแซมการชน จะมีผลอย่างมากต่อค่าซ่อม" Musk กล่าว “อุบัติเหตุส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องเล็ก ก็แค่แก้มหักหรือด้านข้างขูด”

Reuters ได้ทำการวิเคราะห์ Model Y ที่เสียหาย 120 คัน ส่วนมากจะมีระยะวิ่งต่ำกว่า 10,000 ไมล์ทั้งนั้น 

ด้วยราคาขายปลีกตั้งแต่ 60,000 ถึง 80,000 ดอลลาร์ สำหรับบริษัทประกันภัยเมื่อคำนวนต้นทุนเพื่อค่าซ่อมไม่คุ้มกัน

ยกตัวอย่าง Model Y คันหนึ่ง ที่ได้รับความเสียหายด้านหน้า มีราคาขายประมาณ 60,000 ดอลลาร์ แตค่าซ่อมก็ปาไปแล้ว 50,388 ดอลลาร์ เนื่องจากรถมีหลายชิ้นส่วน

นั่นเองทำให้แผนกประกันของเทสล่าได้เปิดตัวออกมาในปี 2019 และให้อัตราค่าประกันที่ต่ำกว่าคู่แข่งถึง 30 % ซึ่งมันก็ได้ผล เพราะทาง

Tesla CFO กล่าวว่าเมื่อช่วงสิ้นปี 2022 แผนก Tesla Insurance ขายเบี้ยประกันภัยได้ปีละ 300 ล้านดอลลาร์ และเติบโต 20% ทุกไตรมาส ซึ่งโตเร็วว่าธุรกิจรถยนต์ของพวกเขาเสียอีก

แม้ว่าเจ้าของจะรักรถ Tesla มากแค่ไหน แต่ปัจจัยหนึ่งที่ไม่เป็นที่พูดถึงกันมากนักคือค่าซ่อมที่ยังสูงมาก ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาใหม่ เนื่องจากไม่กี่ปีที่แล้วเจ้าของรถหลายรายก็เจอกับปัญหาเวลาซ่อมที่รอนานด้วย 2 สาเหตุหลัก คือไม่มีช่างที่ชำนาญมากพอ และมีศูนย์ซ่อมน้อยไป

มัสก์สัญญาว่าจะแก้ปัญหาเหล่านั้น และก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว ถึงค่าซ่อมจะยิ่งสูงขึ้น แต่ก็ยังมีความต้องการรถมากอยู่ดี