หลังจาก 2020 MG Gloster (เอ็มจี กลอสเตอร์) ได้รับการเผยโฉมรุ่นต้นแบบโปรโตไทพ์ในอินเดียไปตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ล่าสุดกำลังจะเปิดตัวรุ่นโปรดักชั่นออกจำหน่ายอย่างเป็นทางการ
Gloster ถูกเปิดผ้าคลุมเผยโฉมในแดนโรตีครั้งแรกที่งาน Auto Expo 2020 มาพร้อมรูปทรงแข็งแกร่งบึกบึนตามสไตล์รถกระบะดัดแปลงอเนกประสงค์หรือที่บ้านเราเรียกว่ารถพีพีวี (PPV) ห้องโดยสารจัดวางเบาะนั่ง 3 แถว รองรับผู้โดยสาร 7 คน
รถพีพีวี Gloster คือการกลายร่าง (rebadge) มาจากรถอเนกประสงค์ Maxus D90 ที่ออกจำหน่ายในตลาดเมืองจีน รูปลักษณ์ภายนอกระหว่าง Gloster และ D90 มีความคล้ายคลึงกันในภาพรวม แต่แตกต่างกันที่รายละเอียดงานออกแบบ อย่างกระจังหน้าและล้ออัลลอย
ที่น่าสนใจก็คือมิติตัวถังของ Gloster จะมีความใหญ่โตกว่าคู่แข่ง โดยมีความยาว 5,005 มม. และกว้าง 1,932 มม. เหนือกว่า Toyota Fortuner ที่มีความยาว 4,795 มม. และกว้าง 1,855 มม. ส่วน Ford Everest มีขนาดยาว 4,883 มม. และกว้าง 1,862 มม.
All-New MG Gloster มาพร้อมอ็อปชั่นครบครัน
ภาพสปายช็อตที่ถูกถ่ายไว้ขณะวิ่งทดสอบสมรรถนะในประเทศอินเดียเผยให้เห็นดีเทลที่น่าสนใจ อย่างการใช้วัสดุโครเมียมเพิ่มความหรูหรา ไฟหน้า LED พร้อมเดย์ไลท์ LED มีแผงสกิ๊ดเพลทกันกระแทกที่ด้านหน้า ส่วนด้านหลังมีดิฟฟิวเซอร์สีดำและท่อไอเสีย 4 ชุด ติดตั้งราวหลังคา และไฟตัดหมอก LED
ยังไม่มีการเปิดเผยภาพในห้องโดยสาร แต่มีรายงานว่าจะเพียบพร้อมความหรูหราด้วยการใช้วัสดุหนังและวัสดุซอฟท์ทัชให้ผิวสัมผัสนุ่มนวล มีหน้าจออินโฟเทนเมนท์ขนาด 12.3 นิ้ว แสงไฟแอมเบียนท์สร้างบรรยากาศ ระบบปรับอากาศแยกส่วน 3 โซน จอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID ขนาด 8 นิ้ว เบาะคู่หน้ามีระบบระบายอากาศและฟังก์ชั่นนวดตัว เป็นต้น
แน่นอนว่า Gloster จะต้องมีระบบเชื่อมต่อ i-Smart ซึ่งเป็นจุดขายสำคัญของรถ MG และเหมาะสำหรับรถครอบครัวอย่าง Gloster อย่างขาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
เครื่องยนต์คาดว่าจะเป็นบล็อกดีเซล 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ขณะเดียวกัน ยังมีเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ พละกำลัง 221 แรงม้า แรงบิด 360 นิวตันเมตรให้เลือกใช้ด้วย
คาดว่า MG Gloster จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศอินเดียภายในเดือนตุลาคมนี้ เคาะราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ประมาณ 1 ล้านบาท
โอกาสทำตลาดเมืองไทย 50 – 50
นับตั้งแต่ MG Extender เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยช่วงกลางปี 2562 รถกระบะรุ่นนี้ทำผลงานได้ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ด้วยตัวเลขเพียงหลักไม่กี่ร้อยคันต่อเดือน และติดอันดับท้าย ๆ ในตลาดรถกระบะที่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด ซึ่งนี่จะเป็นปัจจัยแรกที่ทำให้ MG ต้องทบทวนหลายตลบก่อนจะส่งผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาด
อีกหนึ่งปัจจัยคือสภาวะซบเซาของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ทุกตลาดหดตัวเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่ส่งผลกระทบต่อทุกธุรกิจ ดังนั้นโอกาสที่ MG Gloster จะเข้ามาฟาดฟันในกลุ่มรถพีพีวีที่มีคู่แข่งระดับพระกาฬทั้ง Toyota Fortuner, Isuzu MU-X และ Mitsubishi Pajero Sport ขวางทางอยู่นั้นดูแล้วมีไม่มากนัก
อย่างไรก็ตาม โอกาสก็ไม่ได้ริบหรี่ไปเสียทีเดียว เนื่องจาก MG เป็นแบรนด์ที่อยู่ในข่าย “สู้ไม่ถอย” เห็นได้จากการปลุกปั้น ZS และ HS ให้มียอดขายยืนอยู่แถวหน้าได้อย่างน่าทึ่งด้วยการใช้กลยุทธ์อัดอ็อปชั่นและกำหนดราคาที่ลูกค้าเอื้อมถึงได้ง่าย จึงน่าติดตามลุ้นกันว่า MG จะทำแบบเดียวกันกับ Gloster รถพีพีวีคันยักษ์รุ่นใหม่นี้หรือไม่