MG (เอ็มจี) ประเทศไทย ขยับสายการผลิตเพิ่มการผลิต MG ZS (เอ็มจี แซดเอส) พวงมาลัยซ้าย เพื่อเริ่มการส่งออกไปยังตลาดเวียดนามภายในสิ้นปีนี้ หลังจากเริ่มการส่งออกแซดเอสและ MG HS (เอ็มจี เอชเอส) ไปยังประเทศอินโดนีเซียก่อนหน้านี้ มั่นใจศักยภาพการผลิตรองรับการส่งออกได้ทั้งอาเซียน
จาง ไห่โป กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด และบริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่าการเริ่มส่งออกรถยนต์ไปจำหน่ายยังประเทศเวียดนาม ถือเป็นหลักสำคัญในการพัฒนาโรงงานในประเทศไทย ให้มีขีดความสามารถที่จะผลิตรถยนต์เพื่อให้สามารถส่งออกได้ทั้งภูมิภาคอาเซียน
ทั้งนี้ บริษัทเริ่มการส่งออกรถยนต์ไปยังประเทศอินโดนีเซียในช่วงที่ผ่านมา และวางแผนที่จะส่งออกไปเวียดนามก่อนสิ้นปีนี้ ขณะที่ตลาดอื่น ๆ นั้นยังศึกษาถึงความเป็นไปได้ แต่ด้วยศักยภาพของโรงงาน ก็สามารถเดินหน้าทำตลาดได้ทุกประเทศในภูมิภาคนี้ในอนาคต
window.googletag = window.googletag || {cmd: []}; googletag.cmd = googletag.cmd || []; googletag.cmd.push(function() { googletag.defineSlot('/22557728108/th_article_fourthp_under_pc', [
728,
90
], 'div-gpt-ad-1685678191139-0').addService(googletag.pubads()); googletag.pubads().enableSingleRequest(); googletag.pubads().collapseEmptyDivs(); googletag.enableServices(); });
googletag.cmd.push(function() { googletag.display('div-gpt-ad-1685678191139-0'); });
เล็งส่งออกมาเลเซียเพิ่มปี 2564
จางกล่าวว่าแม้ตัวเลขการส่งออกจะยังไม่ได้เยอะมาก เนื่องจากแต่ละประเทศก็ติดปัญหาเรื่องของ COVID-19 ในปีที่ผ่านมา ทำให้ตลาดรถยนต์ในแต่ละประเทศนั้นซบเซาลงไปอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เอ็มจีก็พร้อมที่จะเดินหน้าการส่งออกรถยนต์จากประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
นอกเหนือจากอินโดนีเซียและเวียดนามแล้ว ทางบริษัทกำลังพิจารณาเรื่องการส่งออกไปยังตลาดมาเลเซียในอนาคต ซึ่งต้องดูถึงภาพรวมของตลาดและความเหมาะสมอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม คาดว่าการส่งออกไปยังตลาดมาเลเซีย น่าจะเริ่มได้ในปี 2564 เป็นต้นไป
"ขณะนี้เรายังไม่สามารถให้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ แต่จากที่มีการพบเห็นเอ็มจี แซดเอส วิ่งทดสอบในประเทศมาเลเซีย คาดว่าจะเป็นการสั่งนำเข้ารถจากดีลเลอร์ในอินโดนีเซียเพื่อทำการทดสอบเท่านั้น หากจะมีการส่งออกจำนวนมากในอนาคต จะต้องเป็นการส่งออกจากประเทศไทย"
ชี้ตลาดไทยยังเติบโตสูงสุดในภูมิภาคนี้
จางกล่าวว่าหากประเมินภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยและอาเซียน จะพบว่าภาพรวมของตลาดในไตรมาส 4 น่าจะกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง ขณะที่ปี 2564 คาดว่าตลาดจะยังทรง ๆ เนื่องจากการฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาของตลาดแต่ละแห่งอาจจะต้องใช้เวลา
อย่างไรก็ตาม ความเห็นส่วนตัวมองว่าประเทศไทยยังเป็นตลาดที่มีความแข็งแกร่ง จากความสามารถในการควบคุมการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสได้ดีที่สุด ขณะที่ปัญหาสถานการณ์ทางการเมือง แม้จะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในตลาด
"9 เดือนที่ผ่านมา เอ็มจีมียอดจำหน่ายเติบโตในประเทศไทย 0.1% หรือมียอดขายรวม 18,699 คัน และเราเชื่อว่าจะทำยอดขายรวมในปีนี้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดที่เราเปิดตัวอย่าง MG HS PHEV (เอ็มจี เอชเอส พีเอชอีวี) คาดว่าจะมียอดขาย 800 คันในปีนี้"
MG HS PHEV ปลั๊กอินไฮบริดตลาดแมสรุ่นแรก
เอ็มจี เอชเอส พีเอชอีวี เปิดตัวในประเทศไทยด้วยราคาจำหน่าย 1.359 ล้านบาท โดยถือเป็นรถยนต์กลุ่มซี-เอสยูวีรุ่นแรกที่ไม่ได้เป็นรถยนต์หรูหรา ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดในประเทศไทย และทำราคาจำหน่ายเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นท็อปเครื่องยนต์เบนซินแพงกว่าเพียง 2.4 แสนบาท
ผู้บริหารของเอ็มจีมั่นใจว่าด้วยสมรรถนะของรถ อุปกรณ์ขั้นเทพที่อัดแน่นมาเต็มคัน และการขยายเครือข่ายสถานีบริการชาร์จไฟที่เตรียมไว้ 100 จุดภายในปีนี้ จะทำให้ลูกค้าของเอ็มจีสามารถกลับมาตัดสินใจเป็นเจ้าของรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดได้ง่ายขึ้นในอนาคต
นอกเหนือจากการเปิดตัวรถยนต์ที่ใช้ระบบปลั๊กอินไฮบริดแล้ว เอ็มจียังถือเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์พลังงานทางเลือกในประเทศไทย ด้วยการขาย MG ZS EV (เอ็มจี แซดเอส อีวี) รถยนต์ไฟฟ้าของค่าย ที่ครองส่วนแบ่งตลาดไปมากกว่า 90% ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
window.googletag = window.googletag || {cmd: []}; googletag.cmd = googletag.cmd || []; googletag.cmd.push(function() { googletag.defineSlot('/22557728108/th_article_relatedmodel_above_pc', [
728,
90
], 'div-gpt-ad-1685678175456-0').addService(googletag.pubads()); googletag.pubads().enableSingleRequest(); googletag.pubads().collapseEmptyDivs(); googletag.enableServices(); });
googletag.cmd.push(function() { googletag.display('div-gpt-ad-1685678175456-0'); });