2020 Nissan Kicks e-POWER (นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ 2020) เปิดตัวในประเทศไทยมาอย่างยาวนานตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ และก็มีปัญหาในเรื่องของการผลิต ทำให้ไม่สามารถส่งมอบให้กับลูกค้าได้จนถึงเดือนสิงหาคม และมีรายงานว่า นิสสันนั้นมียอดบุ๊คกิ้งสำหรับรถคันนี้ที่ไม่เลวที่ระดับ 600 คันต่อเดือน และเริ่มส่งมอบกันอย่างเต็มที่
แม้จะมีเคยจัดการทดสอบให้ลองกันขำขำกันบ้างแล้ว แต่กว่านิสสันจะมีรถยนต์พร้อมให้สื่อมวลชนทดสอบกันอย่างเป็นทางการก็ปาเข้าไปกลางเดือนกันยายน และ AutoFun ก็ได้รับเชิญให้เข้าร่วมทดสอบรถรุ่นนี้อย่างเป็นทางการในกรุ๊ปที่ 3 ซึ่งเป็นการทดสอบที่มาพร้อมกิจกรรมมากมายให้ร่วมตลอดเส้นทางทดสอบ
เส้นทางกรุงเทพมหานครมาจนถึงกาญจนบุรี ที่ปกติวิ่งกันร้อยกว่ากิโลเมตร ทีมงานของนิสสันได้วางเส้นทางอ้อมไปมาเพื่อเพิ่มระยะเวลาในการทดสอบเพื่อให้สัมผัสรถคันนี้กันอย่างเต็มที่ จนมีระยะทางการขับขี่ขามาปาเข้าไปกว่า 300 กิโลเมตร เรียกว่าขับอ้อมกันอย่างเต็มพิกัด จะได้อยู่กับรถไปนาน ๆ
ผมถูกจับอยู่ในรถคันที่ 3 ซึ่งเป็นรถแต่งพิเศษ Premier Edition (พรีเมียร์ เอดิชั่น) เจ้าของค่าตัว 1.099 ล้านบาท จ่ายเพิ่มอีก 5 หมื่นบาทเพื่อเพิ่มชุดแต่งต่าง ๆ มากมายทั้งภายนอกและภายในตัวรถ ขณะที่โครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ และสมรรถนะของรถยนต์จะเหมือนกับรุ่นวีแอล ที่ราคา 1.049 ล้านบาททุกประการ
และแน่นอนว่าเราจะทำบทความการทดสอบอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง เมื่อรถถูกนำมาให้ยืมทดสอบกันในช่วงเดือนตุลาคม แต่ตอนนี้ ขอจับสัมผัสคร่าว ๆ หลังการทดสอบ และคำถามที่เกิดขึ้นมากมายก่อนหน้านี้ มาตอบกันให้คลายข้อสงสัย และหากใครมีคำถามอะไรเพิ่มเติมก็ถามมาได้ เราจะตอบกันอีกครั้งหนึ่ง
พรีเมียร์ เอดิชั่น คุ้มค่ากับ 5 หมื่นบาทหรือเปล่า
กับค่าตัวอีกครึ่งแสนที่จ่ายเพิ่มขึ้นมา คุณจะได้รับอุปกรณ์ตกแต่งทั้งภายในและภายนอกอีก 10 จุด เพื่อให้รถคันนี้มีความสปอร์ตและดุดันมากขึ้น ซึ่งหลัก ๆ ก็คือการเพิ่มชุดแต่งบอดี้พาร์ทรอบคัน พร้อมการตกแต่งภายในที่ดูเหมือนเพิ่มเข้ามาให้มีความคุ้มค่ามากขึ้น และทำให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
ภายนอกนั้นจะมาพร้อมการเปลี่ยนแปลง 7 จุด ประกอบไปด้วย หนึ่ง สเกิร์ตหน้าสีดำเงา สอง กระจังหน้าวี-โมชั่นสีดำเงา สาม สปอยเลอร์หลังคาสีดำเงา สี่ สเกิร์ตหลังสีดำเงา ห้า สัญลักษณ์ Premiere Edition ที่เสากลางด้านนอก หก สเกิร์ตข้างสีดำเงา และ เจ็ด ล้ออัลลอยสีดำเงา เพื่อเอาใจลูกค้าที่ชอบความสปอร์ต
ขณะที่ภายในนั้นจะมาพร้อมการเปลี่ยนแปลง 3 จุด ได้แก่ หนึ่ง สัญลักษณ์ Premiere Edition ที่คอนโซลกลาง สอง แป้นวางเท้าแบบสปอร์ต และสาม คิ้วบันไดสแตนเลสพร้อมสัญลักษณ์ Premiere Edition เอาจริง ๆ ถ้าจ่ายไหว รถก็ดูสปอร์ตมากขึ้น แต่ถ้าคิดว่าเก็บเงินไว้เติมน้ำมัน ก็ไม่ต้องเพิ่มหรอก ไม่มีผลอะไรต่อการขับขี่
การออกแบบภายนอกและภายในที่ยังไม่สุด
ความโดดเด่นของรถคือทางเลือกของสีสันที่ทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นสีส้มที่เป็นสีขาย สีขาว สีเทา และสีแดง ที่สามารถเพิ่มออพชั่นจ่ายเงินได้ตามที่ต้องการ พร้อมทั้งมีเวอร์ชั่นสีภายนอกสีทูโทนให้เลือกได้ ขณะที่ห้องโดยสารภายในก็เลือกได้ว่าจะเอาสีทูโทนหรือสีดำ เรียกว่าเอาใจลูกค้ากันอย่างเต็มที่ในทุกออพชั่น
รูปร่างหน้าตาภายนอกขอไม่วิจารณ์ เพราะของพวกนี้ลางเนื้อชอบลางยาไม่ว่ากัน เอาจริง ๆ โดยส่วนตัวผมก็ชอบนะ รู้สึกดีไซน์แปลกใหม่ดี แต่ก็ดูสปอร์ตไม่สุด ด้วยกระจังหน้าที่ดูใหญ่โต ทำให้สัดส่วนดูไม่เนียนตา ไม่เหมือนกับตอน Nissan Almera (นิสสัน อัลเมร่า) ที่มิติตัวถังนั้นจะดูเข้าตากันไปทั้งคันมากกว่า
ห้องโดยสารภายในที่ได้ลองนั่งแค่ตำแหน่งเบาะคู่หน้าดูกว้างขวาง เบาะที่นั่งรองรับน้ำหนักดี แต่ที่รองศีรษะนั้นไม่ค่อยสบายหัวเท่าไหร่ การตกแต่งที่เป็นจุดขายว่าเป็นผิวสัมผัสแบบนุ่มนั้น บุวัสดุผิวนุ่มมาน้อยเกินไป ทั้งที่ตำแหน่งคอนโซลหน้าและที่รองมือ ทำให้เวลาจับโดนยังรู้สึกถึงความแข็งของวัสดุหลักอยู่
พวงมาลัยทรงท้ายตัดมีขนาดที่กำลังดีในการควบคุมรถ แต่ตำแหน่งที่บีบแตรดูเล็กไปนิดหน่อย หน้าจอสัมผัส 8 นิ้วตรงคอนโซลกลางรองรับแอปเปิล คาร์เพลย์ แต่ไม่รองรับแอนดรอยด์ ออโต้ ข้อดีเหมือนในอัลเมร่าคือไม่ค่อยทิ้งรอยนิ้วมือเอาไว้บนหน้าจอ ระบบแอร์แบบดิจิตอล แป้นเกียร์ทรงแปลกตาที่ใช้งานเหมือนรถไฟฟ้า
บานประตูหลังแบบเปิดด้วยมือ มีห้องเก็บสัมภาระขนาดใหญ่ หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ตรงหน้าคนขับนั้นดูง่ายดี แต่น่าจะมีลูกเล่นเยอะกว่านั้นอีกสักนิด เอาจริง ๆ แล้วก็ยังเป็นการออกแบบที่มีจุดติเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั่วคันไปเป็นการบ้านให้ทีมงานของนิสสันเก็บข้อมูลไว้ปรับปรุงกันต่อไปในอนาคต
เครื่องยนต์สำหรับการใช้งานในเมืองและไม่ได้ตั้งเป้าที่ความประหยัด
การขับขี่นิสสัน คิกส์ ที่ความเร็วสูงบนระยะทางไกลนั้น มีความรู้สึกหนึ่งที่จับได้อย่างชัดเจนก็คือความสนุกสนานในการขับขี่ระยะไกลที่ลดน้อยลงกว่าการใช้งานในเมืองหรือที่ย่านความเร็วระดับปานกลาง และเมื่อถามคำถามนี้กับทีมงานของนิสสันก็ได้คำตอบที่น่าสนใจกับแนวคิดในการออกแบบรถยนต์คันนี้
หนึ่งก็คือ รถยนต์คันนี้นั้นถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้ดีที่สุดที่ย่านความเร็วระดับ 80-100 กิโลเมตร สอง ไม่มีใครที่ออกแบบสินค้าออกมาได้สมบูรณ์แบบทุกด้าน และนิสสันก็เลือกที่จะพัฒนารถยนต์ของพวกเขาเพื่อการใช้งานในเมืองเป็นหลัก การขับขี่ที่ความเร็วสูงมากอาจจะเป็นการใช้งานรถยนต์ที่มากเกินไปสักนิด
ในช่วงของการออกตัวและการเร่งแซงที่ความเร็วต่ำถึงปานกลางนั้น มอเตอร์ไฟฟ้าพร้อมแรงบิด 260 นิวตันเมตร ที่ให้สมรรนะเต็มที่ตั้งแต่ 500 รอบต่อนาที ทำการฉุดกระชากรถไปได้อย่างไม่มีปัญหา กว่าที่ตัวรถเองจะเริ่มออกอาการเฉื่อยให้เห็นก็ต้องปาเข้าไปที่ย่านความเร็ว 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมงไปแล้วเลยนั่นล่ะ
ในเรื่องของความประหยัดนั้น แม้ตามสเปกจะบอกว่ารถคันนี้ให้อัตรการสิ้นเปลืองที่มากกว่า 20 กิโลเมตรต่อลิตร แต่เอาจริง ๆ ผมว่าคนซื้อมาส่วนใหญ่ก็เอามาขับที่ความเร็วปานกลางถึงสูงกันทั้งนั้นล่ะ เพราะฉะนั้นตัวเลขการสิ้นเปลืองระดับ 14-15 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งเป็นตัวเลขตามหน้าปัดในทริปนี้ก็ฟังดูสมเหตุผลอยู่
เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อรถคันนี้ อย่าลืมไปตรวจเช็คความต้องการของคุณอีกรอบ เพราะผมเชื่อว่าหากใช้งานรถคันนี้ในเมืองเป็นหลักจริง ๆ ปล่อยให้เครื่องยนต์ไฟฟ้าและวัน-เพดัล ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่ ตัวเลขการประหยัดเชื้อเพลิงน่าจะทำได้ดีกว่านี้มาก และมันก็สนุกมากพอแน่นอนกับการใช้งานในเมือง
วัน-เพดัล การใช้งานที่ต้องระมัดระวังหน่อยนะ
ตอนที่ Nissan Leaf (นิสสัน ลีฟ) แนะนำระบบอี-เพดัล ซึ่งใช้คันเร่งในการควบคุมการเพิ่ม ลด ความเร็ว รวมไปถึงการเบรกในตัวรถนั้น ผมเอามาทดสอบอยู่หลายวันและรู้สึกว่าไม่ชอบเอาเสียเลย เพราะการเบรกแบบกระโชกโฮกฮากของรถเมื่อปล่อยคันเร่ง ก็อาจจะทำให้รถคันหลังวิ่งมาชนเราได้แบบไม่เจตนา
เมื่อคิกส์หันมาใช้วัน-เพดัล ที่ได้รับการพัฒนาไปอีกขั้น มีระบบการหน่วงของการเบรกมากกว่าและมีความเนียนในการใช้งานมากกว่าเยอะ แน่นอนว่าในเมืองอาจจะไม่ได้มีผลมาก แต่เส้นทางที่นิสสันเองมาให้ทดสอบลัดเลาะไปตามคดโค้งของภูเขามากมาย วัน-เพดัลก็ได้แสดงสมรรถนะของมันออกมาอย่างเต็มที่
การเข้าโค้งที่ปกติเราจะต้องถอยคันเร่งออกมาแตะเบรกนั้น ทำได้ง่ายดายขึ้นด้วยการปล่อยคันเร่งเพียงอย่างเดียว ลักษณะการทำงานจะเหมือนเราใช้เอนจิ้นเบรก เพื่อควบคุมรถให้เข้าโค้งได้ตามที่เราต้องการ ซึ่งเมื่อรวมกับช่วงล่างที่ยอดเยี่ยมและดีงามของรถ ก็ทำให้การพารถลัดเลาะไปตามโค้งทำได้อย่างสนุกสนาน
สิ่งที่อาจจะเป็นจุดที่อยากให้นิสสันปรับปรุง ก็คือเมื่อรถชะลอตัวจากการใช้ระบบนี้ อยากให้ไฟเบรกของรถติดทุกครั้ง เพื่อเป็นการเตือนรถคันหลังว่ารถคันนี้กำลังจะชะลอ เหมือนกับที่เรากดแป้นเบรก น่าจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยมากกว่า การที่ไฟเบรกอาจจะติดหรือไม่ติด แล้วแต่สภาพการขับขี่ก่อนลดความเร็ว
ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วยืนยันว่าวัน-เพดัลนั้นใช้งานได้อย่างสนุกสนานและดีขึ้นแล้ว เหมาะมากสำหรับการขับขี่ทั่ว ๆ ไป แต่ยังไม่ได้ลองใช้งานในเมืองว่าจะเป็นอย่างไร หากนิสสันจะช่วยคิดว่าจะทำอย่างไรให้มันสามารถเตือนรถยนต์ที่ตามมาได้ด้วยว่ารถกำลังจะชะลอความเร็ว ก็จะทำให้มันน่าใช้งานมากยิ่งขึ้น
มันก็ไม่ได้สะดวกสบายไม่โคลงเคลงขนาดนั้น
นิสสันคุยว่าคิกส์นั้นได้รับการออกแบบบนพื้นฐานของ Zone Body Concept ที่เป็นมาตรฐานของค่าย โดยโครงสร้างนั้นถูกสร้างให้มีความสามารถในการดูดซับพลังงาน รับแรงกระแทกและทำให้รถมีความแข็งแกร่ง ปลอดภัย เหมาะกับขับขี่ในทุกรูปแบบ และมาพร้อมเทคโนโลยีช่วยลดอาการโยนตัวบนทางขรุขระ
เอาจริง ๆ ผมกลับไม่ได้รู้สึกว่าตัวรถถูกออกแบบมาให้สบายขนาดนั้น ด้วยขนาดความสูงของตัวถังก็ดี หรือตำแหน่งการนั่ง รวมไปถึงเบาะที่นั่งที่ไม่ได้โอบกระชับตัวตลอดเวลา ทำให้เวลาขับขี่แล้ว เราก็ยังจะรู้สึกได้ถึงอาการโยนตัวของรถ และแรงกระแทกที่ผ่านใต้ท้องรถมาที่เบาะโดยสารอยู่ดีนะ
สิ่งที่ดีจริง ๆ กับเป็นเรื่องของการเก็บเสียงภายในห้องโดยสาร ที่ไม่มีเสียงเครื่องยนต์หรือเสียงมอเตอร์เข้ามารบกวนมากเหมือนตอนนิสสัน ลีฟ ขณะที่เสียงลมปะทะก็มีที่ย่านความเร็วสูงไปแล้ว ขณะที่อุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่น ๆ ก็มีมาให้มากพอสมควร แต่เอาจริง ๆ ตัวท๊อปก็ควรให้เบาะไฟฟ้าคู่หน้ามาเลยนะ
ลูกค้าเป็นผู้เลือกว่าอยากได้อะไรที่เหมาะสมกับตัวเอง
ผู้บริหารของนิสสันระบุอย่างชัดเจนว่า Nissan Kicks 2020 ไม่ใช่แค่รถยนต์อีกหนึ่งรุ่น แต่เป็นการเดิมพันของนิสสัน ในการแนะนำเทคโนโลยีที่ดีที่สุดของค่ายให้กับลูกค้าในประเทศไทยเป็นประเทศแรก ๆ ของโลก และเทคโนโลยีนี้ไม่ได้ถือว่าใหม่ เพราะในญี่ปุ่นมีรถที่ใช้เทคโนโลยีนี้จำหน่ายมานานกว่า 4 ปีแล้ว
อย่างไรก็ตาม นิสสันเองก็ต้องการสร้างฐานลูกค้าของตัวเองในตลาดที่เติบโตสูงที่สุดอย่างเอสยูวี/ครอสโอเวอร์ ทำให้ตัดสินใจแนะนำเทคโนโลยีนี้ แต่ก็ต้องใช้เวลาในการสื่อสารการตลาดและทำความเข้าใจกับลูกค้า ที่อาจจะยังไม่เข้าใจและมีความกังวลกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่นิสสันนำมานำเสนอในประเทศไทย
จริง ๆ การอยู่กับรถที่ขับเร็วเป็นหลักตลอดระยะทางวันนี้ ก็ยังไม่ได้ให้ข้อมูลที่เพียงพอว่าตัวรถนั้นน่าใช้งานขนาดไหน โดยเฉพาะเมื่อต้องทดลองกับการใช้งานในเมืองที่ย่านความเร็วที่เหมาะสมกับรถ ซึ่งรอให้นิสสันปล่อยรถออกมาอีกครั้ง เดี๋ยวขอนำมารายงานกันอีกรอบก็แล้วกันว่ามันจะน่าประทับใจเพียงใด
และยังมีจุดไหนที่ต้องพิจารณาก่อนการซื้อรถคันนี้ หากคุณยังสนใจมันจริง ๆ นะ!!!