- รถยนต์ไฟฟ้าขับหลังรุ่นแรกของค่าย
- ขับสนุกด้วยแพลตฟอร์มเนบิวล่า
- มอเตอร์ไฟฟ้า 170 แรงม้า 250 นิวตันเมตร
- ออพชั่นความปลอดภัย 26 รายการ
- ประกาศราคามอเตอร์ เอ็กซ์โป คาดต่ำล้าน
แม้ว่า MG (เอ็มจี) จะทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามาอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย ด้วยการเปิดตัวทั้ง MG ZS EV (เอ็มจี แซดเอส อีวี) มาแล้ว 2 เจนเนอเรชั่นและตามด้วย MG EP (เอ็มจี อีพี) รถยนต์ไฟฟ้าสำหรับครอบครัว ซึ่งเพียงพอต่อการที่จะพูดว่าพวกเขาเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในบ้านเรา
อย่างไรก็ตาม ด้วยความต้องการของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่หลากหลาย ทำให้กลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่ที่อยากได้รถยนต์ไฟฟ้าที่มากกว่าการตอบสนองต่อการใช้งานในเมือง ได้เรียกร้องรถยนต์ที่เน้นความสปอร์ต โฉบเฉี่ยวมากขึ้น ทำให้เอ็มจีเองก็ต้องพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ เข้ามาทำตลาดในทุกตลาดทั่วโลก
ทีมออกแบบของเอ็มจีที่ตั้งอยู่ที่ประเทศอังกฤษเป็นตัวตั้งตัวตีในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ บนแพลตฟอร์มใหม่ ที่จะทำให้รถคันนี้ขับขี่ได้อย่างสนุกสนาน ตอบสนองความต้องการที่เหนือกว่า และได้ออกมาเป็น MG4 ELECTRIC (เอ็มจี4) รถยนต์ไฟฟ้าที่หน้าตาดี ขับขี่ดี เรียกได้ว่าเหนือความคาดหมาย
AutoFun ลงสนามลองขับรถคันนี้เป็นครั้งแรก และบอกเลยว่าทำให้เราหลงรักรถยนต์ไฟฟ้าขึ้นอีกเยอะเลย...
ภาพรวมและจุดเด่นของ MG4 ELECTRIC
นอกเหนือจากการเปลี่ยนมาใช้แพลตฟอร์มใหม่ ที่ทำให้พกช่วงล่างใหม่มาด้วย นี่คือรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของค่ายที่มาพร้อมการขับเคลื่อนล้อหลัง ผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังอย่างเหมาะสม ความสะดวกสบายในห้องโดยสารที่เรียกว่าโอ่อ่าหรูหรา แม้จะขาดออพชั่นบางอย่างไปอย่างน่าเสียดาย แต่ในรุ่นท็อปก็ไม่กั๊กกับอุปกรณ์ความปลอดภัยที่อัดมาให้รอบคัน แถมด้วยราคาจำหน่ายที่ยืนยันแล้วว่าไม่ถึง 1 ล้านบาท แน่นอนว่าตัวเลขยอดจองเกือบ 1,600 คันหลังเปิดให้จอง 8 ชั่วโมง โดยที่ยังไม่รู้ราคาและลูกค้ายังไม่ได้ทดสอบ น่าจะตอบถึงความฮอตของรถคันนี้ได้เป็นอย่างดี
แพลตฟอร์มสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ
การเลือกใช้เนบิวล่า เพียว อีวี แพลตฟอร์ม ที่พัฒนาขึ้นมาสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ ทำให้เอ็มจีสามารถเลือกการเซตอัพรถคันนี้ให้มีอารมณ์และบรรยากาศของรถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างเต็มรูปแบบ โดยผลงานแรกของแพลตฟอร์มนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความโฉบเฉี่ยวของการออกแบบและพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่บนแพลตฟอร์มรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหลัง ซึ่งเอ็มจีบอกว่า แพลตฟอร์มนี้ จะรองรับการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ได้อีกหลายเซกเมนต์ ตั้งแต่แฮชท์แบ็ค ซีดาน ไปจนถึงรถกระบะ ที่รองรับการใช้งานแบตเตอรี่ที่มีหลายขนาดบรรจุ
ภายนอกนั้นโฉบเฉี่ยวด้วยเส้นสายแบบสปอร์ต 3 มิติรอบคัน
ถ้าจะบอกว่านี่คือรถยนต์ที่ออกแบบมาได้อย่างโฉบเฉี่ยวที่สุดของเอ็มจีก็คงไม่ผิด และเป็นการยืนยันถึงประวัติศาสตร์ของแบรนด์ที่เคยยืนหยัดในความเป็นรถสปอร์ตจากสหราชอาณาจักร ด้วยตัวถังด้านหน้าแบบลาดเอียงดูลู่ลม ตัวถังด้านข้างแบบแฮชท์แบ็คที่ออกแบบให้หลังคามีความลาดเอียงไปที่เสาดีเล็กน้อย ถ้าซื้อรุ่นท็อปนั้น จะได้หลังคาสีดำตัดกับตัวรถไปเลย และมีสีฟ้าให้เลือกได้ด้วย ด้านท้ายนั้นโดดเด่นด้วยการเล่นกับตัวถัง 3 มิติในทุกสัดส่วน ทั้งสปอยเลอร์หลังรูปทรงแปลกตา ชุดไฟท้ายและกันชนท้าย รวมไปถึงลายเส้นกราฟฟิกด้านบนไฟท้ายที่ดูเพลินตา จุดที่น่าเสียดายก็คือลายของล้ออัลลอย 17 นิ้ว พร้อมฝาครอบล้อที่ดูไม่ค่อยสปอร์ตไปด้วย และประตูท้ายที่ยังไม่ให้ประตูไฟฟ้ามานั่นล่ะ ขณะที่ชุดไฟเป็นแอลอีดีหมดแล้ว แต่ไม่มีไฟตัดหมอก รวมถึงเซนเซอร์ช่วยถอยจอดมาให้นะ
ภายในโอ่อ่าด้วยฐานล้อยาว ออพชั่นดิจิตอลล้น แต่ขาดความอนาล็อก
ด้วยการออกแบบรถยนต์คันนี้ให้มีระยะฐานล้อที่ยาวถึง 2,705 มิลลิเมตร และมีระยะต่ำสุดจากพื้นแค่ 117 มิลลิเมตร ทำให้เอ็มจี4 เป็นรถที่สามารถเดินเข้าออกจากรถได้อย่างสะดวกง่ายดายที่สุดคันหนึ่ง ห้องโดยสารด้านหลังนั้นโอ่อ่า กว้างขวาง มีระยะวางขาที่ดี แต่เฮดรูมนั้นอาจจะเหลือไม่มากนักตามแบบของรถสปอร์ตแฮชท์แบ็ค อุปกรณ์ภายในอย่างหน้าจอสัมผัสตรงกลาง หน้าจอแสดงผลหลังพวงมาลัยนั้นสวยงามแบบมินิมอล มีไวร์เลสชาร์จเจอร์ รองรับการเชื่อมต่อทุกรูปแบบ เบาะที่นั่งคนขับปรับไฟฟ้าได้ และพวงมาลัยปรับได้ 4 ทิศทาง เอาจริง ๆ ก็เพียงพอกับการใช้งานแล้วล่ะ แต่ก็เห็นได้ว่าออพชั่นหายไปหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นเบาะที่นั่งผู้โดยสารหน้าปรับมือ ที่บังแดดหน้ามีกระจกแต่ไม่มีไฟมาให้ เข็มขัดนิรภัยแบบปรับระดับไม่ได้ และด้านหลังไม่มีช่องแแอร์และที่เท้าแขนมาให้ แต่เบาะหลังพับได้ 60:40 และมีช่องชาร์จไฟมาให้ 1 ตำแหน่งที่ด้านท้าย
ขุมพลังตอบสนองดี พร้อมช่วงล่างที่สนุกกว่าอีวีทั่วไป
เอ็มจีนั้นตั้งใจที่จะออกแบบรถคันนี้ให้เป็นอีวีที่ขับสนุก พวกเขาได้เลือกใช้มอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 170 แรงม้า พร้อมด้วยแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตรมาติดตั้งให้กับรถ แบตเตอรี่แบบ Rubik's Cube ขนาดความจุ 51 กิโลวัตต์ชั่วโมง รองรับการชาร์ตไว 88 กิโลวัตต์ชั่วโมง ชาร์จ 10-80% ใน 35 นาที วิ่งได้ไกลสุด 425 กิโลเมตร ช่วงล่างหน้าแบบแมคเฟอร์สัน สตรัท ด้านหลังเอา 5-ลิงค์กลับมาใช้อีกครั้งเพื่อความแม่นยำในการควบคุมรถ มาพร้อมระบบขับเคลื่อนล้อหลังและดิสก์เบรก 4 ล้อ ตัวรถออกแบบมาให้มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำลง พร้อมการกระจายน้ำหนัก 50:50 ติดตั้งพวงมาลัยไฟฟ้าหน้าตาแปลกตา โดยมีรัศมีวงเลี้ยวแคบเพียง 5.3 เมตรเท่านั้น
มาตรฐานความปลอดภัย 26 ระบบ ไอ-สมาร์ทมาครบครัน
นอกจากการเลือกใช้โครงสร้างตัวถังแบบนิรภัยแล้ว เอ็มจี4 ในรุ่นท็อปได้ทำการติดตั้งอุปกรณ์และระบบความปลอดภัยแบบสมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่เอ็มจีเคยให้มา ไม่ว่าจะเป็นถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง ระบบการสื่อสารกับรถไอ-สมาร์ทตัวใหม่ พร้อมระบบความปลอดภัยขั้นพื้นฐานและแอดวานซ์มาทำงานร่วมกัน 26 ระบบเพื่อความปลอดภัยสูงสุด ยกตัวอย่างเช่น มีการเตือนชนพร้อมช่วยเบรกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันและที่ความเร็วต่ำ มีระบบคุมรถให้อยู่ในเลน เตือนและช่วยดึงกลับ ระบบเตือนมุมอับสายตา ไฟสูงอัตโนมัติและระบบเตือนการเปิดประตู ดูจากลิสต์ของออพชั่นแล้ว บอกเลยว่าซื้อตัวท็อปไปเถอะ คุ้มค่าแน่นอน
ขับสนุก ลุกนั่งสบาย ค่าตัวต่ำล้าน น่าใช้งานอยู่นะ
หลังจากได้ลองขับอยู่ 4-5 รอบของสนามแบบเค้น ๆ เพราะทีมงานเอ็มจีไม่ได้วางไลน์สนามให้ซุกซนได้มาก ก็พบว่าตัวรถนั้นให้การตอบสนองที่สนุกกว่าเอ็มจีทั่วไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเป็นรถยนต์ขับหลัง อีกส่วนก็คือตัวเครื่องที่ตอบสนองได้เป็นอย่างดี หากขับมาแล้วเข้าโค้งหักศอกที่ความเร็วสัก 70-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็ยังคุมรถได้อยู่ หรือหากปิดระบบควบคุมการทรงตัว ก็จะมีอาการท้ายปัดแบบควบคุมได้ไม่ยากอยู่ แต่ก็ยังเจอปัญหาเวลาที่ขับต่อเนื่องนาน ๆ ดูเหมือนมอเตอร์จะเริ่มล้า ทำให้การตอลสนองลดลงไปเล็กน้อย อันนี้ต้องไว้ขอยืมมาทดสอบยาว ๆ อีกรอบว่าจะเป็นอย่างไร
โดยรวมความก็ถือว่าเป็นการเดินทางที่ถูกที่ถูกทางของค่ายนี้่แล้ว กับการเลือกพัฒนารถยนต์ที่ขับขี่ได้อย่างสนุกสนาน โดยที่ไม่ทิ้งบรรยากาศของความบันเทิงเริงใจให้กับลูกค้า เอ็มจีเตรียมประกาศราคาอย่างเป็นทางการในงานมอเตอร์ เอ็กซ์โปนี้ โดยมีให้เลือก 2 รุ่นย่อย สีตัวถัง 5 สี ได้แก่ ดำ แดง เทา ขาว และพิเศษสีฟ้าในรุ่นท็อป โดยภายในรุ่นเริ่มต้นจะเป็นสีดำ และทูโทนเทา-ดำ ในรุ่นท็อป พร้อมออพชั่นเบาะสีพิเศษให้เลือกได้
จองคิวตอนนี้น่าจะต้องรอ 2-3 เดือนแล้วล่ะกว่าจะส่งมอบลอตแรกกันได้ ใครสนใจไปดูตัวจริงก่อนนะ...