สมรภูมิรถยนต์นั่งหรูหราระดับกลางเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น เมื่ออดีตเจ้าตลาดขาใหญ่อย่าง Mercedes-Benz (เมอร์เซเดส-เบนซ์) สั่งอัพเกรดอุปกรณ์มากมายให้กับ Mercedes-Benz E-Class (เมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส) เรือธงตลอดกาลของพวกเขาในช่วงที่ผ่านมา
นอกเหนือจากจะเป็นการอัพเกรดรูปลักษณ์หน้าตาให้มีความพรีเมียมหรูหราขึ้น พวกเขาได้ทำการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมหลายประการ รวมถึงปรับของเล่นและระบบต่าง ๆ มากมายในรถยนต์ โดยเฉพาะในรุ่นท็อปอย่าง 300 e AMG Dynamic เจ้าของค่าตัว 3.77 ล้านบาท
นอกเหนือจากการปรับตัวสินค้าตัวเองให้ดูสดใหม่ เป้าหมายของการอัพเกรดยกเครื่องของพวกเขาในครั้งนี้ ก็คือการประมือกับคู่แข่งในท้องตลาด ไม่ว่าจะเป็น BMW 5-Series (บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์-5) หรือแม้แต่ Audi A6 (อาวดี้ เอ6) ที่เปิดตัวรุ่นใหม่ไปก่อนหน้านั้นไม่นาน
AutoFun Thailand ติดสอยร่วมทริปการทดสอบรถยนต์รุ่นใหม่ของค่ายตราดาวเป็นครั้งแรก พร้อมกับรับมอบกุญแจรถรุ่นท็อปมาทำการทดลองตลอดเส้นทางกทม.-พัทยา โดยได้มีโอกาสลองกันแบบยาว ๆ ทำให้พอจะจับได้ว่ารถรุ่นนี้มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นมาแล้วหลายจุด
แต่เอาไว้ขอยืมมาขับกันละเอียด ๆ ค่อยว่ากันอีกสักรอบ งวดนี้จะพาไปลองกันแบบสนุก ๆ เล่าความรู้สึกให้ฟังว่ารถที่ปรับปรุงมาใหม่นี้ มีอะไรที่โดดเด่นและแตกต่างบ้าง และมันจะน่าสนใจพอที่จะดึงดูดผู้บริโภค ให้กลับมาเลือกพวกเขาได้หรือไม่ในอนาคต!!!
ราคาจำหน่ายที่หายไป และของที่เพิ่ม-ลดจากรุ่นเดิม
แน่นอนว่าเรารู้แล้วว่าราคาจำหน่ายของรถคันนี้อยู่ที่ 3.77 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับโฉมเก่าอย่าง Mercedes-Benz E350 e AMG Dynamic แล้ว ค่าตัวของรถนั้นถูกลงไปถึง 4.2 แสนบาท ซึ่งแน่นอนว่าหลายคนคงมีคำถามว่า เมื่อราคาเปลี่ยนไป มีอะไรหายหรือเพิ่มขึ้นมาบ้าง
สิ่งที่ตัดออกไปอย่างแน่นอนก็คือระบบช่วงล่างแบบถุงลม AIRMATIC ที่เคยทำให้รถมีอาการนุ่ม ๆ ย้วย ๆ แบบที่หลาย ๆ คนไม่ค่อยชอบ ซึ่งก็อาจจะเป็นข้อดีที่ทำให้ตัวรถมีฟีลการตอบสนองที่กระฉับฉับไวมากขึ้น แต่เมื่อผ่านทางขรุขระก็กระดอนมากกว่าชัดเจน
ขณะที่พละกำลังของเครื่องยนต์ รวมไปถึงแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ทำให้รถมีความคล่องตัวมากขึ้น สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าได้ระยะทางที่ไกลกว่าเดิม รวมไปถึงมีการติดตั้งระบบ MULTIBEAM LED รุ่นใหม่ ที่ส่องสว่างได้ไกลกว่าเดิมขึ้นมาอย่างครบครัน
รูปลักษณ์ภายนอกสะอาดตาเน้นพรีเมียม
การปรับเปลี่ยนทางด้านรูปลักษณ์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส รุ่นนี้ โดยส่วนตัวนั้นมองว่าเบนซ์เองพยายามที่จะทำให้รถดูมีภาพลักษณ์แบบหรูหราพรีเมียมเหนือกว่าคู่แข่ง และตัดภาพของความสปอร์ตออกไปค่อนข้างมาก ซึ่งก็ดูลงตัวกับอี-คลาสมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
การใช้เส้นสายแนวโค้งมนในปรับและออกแบบรถเกือบทั้งคัน ไล่ไปตั้งแต่กรอบโคมไฟหน้าที่ลดความเฉียบคมของลายเส้นลงไป กระจังหน้าที่ออกแบบป่อง ๆ สอดรับกับฝากระโปรง พื้นที่ด้านข้างของรถที่เหมือนว่าเส้นคาดด้านข้างจะดูบาง ๆ ลงไปก็เช่นเดียวกัน
ชุดไฟท้ายที่ออกแบบมาใหม่ในรูปแบบของแนวนอนนั้น ก็เหมือนโดนตีโป่งออกมาเล็กน้อย ชุดแต่งเอเอ็มจีและลายของล้อที่ให้มาก็ไม่ได้ออกแนวสปอร์ตหวือหวา มีพาโนรามิกซันรูฟติดตั้งมาให้เรียบร้อย ขณะที่การควบคุมทุกอย่างเป็นหน้าที่ของระบบไฟฟ้าทั้งคัน
ห้องโดยสารภายในเพิ่มอุปกรณ์และความพรีเมียม
สิ่งที่สวยที่สุดในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส ในความรู้สึกของผมเอง ก็คือพวงมาลัยสำหรับรุ่นท็อป ซึ่งออกแบบมาใหม่ เน้นวัสดุสีดำมัน มาใช้งานกับระบบมัลติฟังชั่นส์ ที่แยกแถวของระบบควบคุมแบบสัมผัสออกจากกันเป็น 2 แถวอย่างชัดเจน
ภายในมาพร้อมระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 3 โซน ซึ่งผู้โดยสารตอนหลังสามารถควบคุมอุณหภูมิของตัวเองได้ หน้าจอด้านหน้าเป็นหน้าจอขนาด 12.3 นิ้วต่อกันเหมือนรถตราดาวรุ่นใหม่ ๆ ที่รองรับการเชื่อมต่อหลากหลายรูปแบบ ด้วยพอร์ตแบบยูเอสบี-ซี เท่านั้น
ในรุ่นท็อปนั้นจะมีฟังชั่นส์ในห้องโดยสารที่แตกต่างจากรุ่นย่อยอีก 2 รุ่นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นระบบแสดงผลข้อมูลบนกระจกบังลม ระบบเสียงพิเศษจาก Burmester พวงมาลัยแบบท้ายตัด ชุดแป้นคันเร่งและเบรกแบบสปอร์ต แต่ที่เด่นจริงก็พวงมาลัยสุดสวยนั่นล่ะครับท่าน
เครื่องยนต์ใหม่ที่แรงและวิ่งด้วยไฟไกลกว่าเดิม
การทำงานของเครื่องยนต์ลูกผสมระหว่างเบนซินและมอเตอร์ไฟฟ้า ยังเป็นจุดเด่นของรถยนต์หรูหราเหล่านี้ และอี300 อี ก็มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ พร้อมเทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์ ขนาด 1,991 ซีซี. ที่ให้กำลังสูงสุด 211 แรงม้าที่ 5,500 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตรที่ 1,200 – 4,000 รอบต่อนาที
ทางค่ายตราดาวมีการเปลี่ยนการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าลูกใหม่ ซึ่งเป็นมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงขึ้น โดยให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า พร้อมด้วยแรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร เมื่อรวมพลังทั้งระบบ จะให้กำลังสูงสุด 320 แรงม้า พร้อมด้วยแรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตรเลยทีเดียว
เมื่อเทียบกับอี350 อี รุ่นเก่า ก็จะพบว่าระบบเครื่องยนต์ของรถรุ่นนี้ให้สมรรถนะที่เหนือกว่า โดยให้กำลังรวมเพิ่มขึ้น 41 แรงม้า ให้แรงบิดรวมเพิ่มขึ้น 100 นิวตันเมตร และเลือกใช้แบตเตอรี่ความจุ 13.5 กิโลวัตต์ชั่วโมง เพิ่มขึ้นมา 7.1 กิโลวัตต์ชั่วโมง และยังส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ ลงสู่ล้อหลังเหมือนเดิม
ด้วยสเปกที่ว่ามานี้ ทำให้อี-คลาสใหม่นั้น แรงขึ้นกว่าเดิม โดยมีอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลาเพียง 5.7 วินาที พร้อมทำความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แถมยังคุยอีกว่า แบตเตอรี่ลูกใหม่นี้ ช่วยยืดระยะเวลาในการวิ่งด้วยไฟฟ้าออกไปเป็นมากกว่า 50 กิโลเมตรเลยทีเดียว
ซึ่งจากการขับทดสอบนั้น ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่า เจ้าอี-คลาสใหม่หัวใจไฮบริดนั้น มีความกระฉับกระเฉงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การออกตัวนั้นปรู๊ดปร๊าดขึ้นมาในระดับหนึ่ง แถมยังเร่งความเร็วได้อย่างว่องไวปราดเปรียว แถมยังมีการควบคุมที่แม่นยำบนท้องถนนอีกด้วย
ระบบความปลอดภัย-ระบบช่วยเหลือที่ครบครัน
หากไม่นับระบบกล้อง 360 องศาที่เพิ่มขึ้นมาในรุ่นท็อปมากกว่าอีก 2 รุ่นย่อยที่ให้มาแค่กล้องถอยหลังแล้ว ระบบความปลอดภัยและระบบช่วยเหลือด้านการขับขี่อื่น ๆ นั้นถือว่ามีเท่าเทียมกันหมด จนน่าจะเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ลูกค้าหันไปเลือกซื้อรุ่นกลางหรือล่างแทนก็ได้
ตัวรถนั้นมาพร้อมระบบที่ได้รับการอัพเดตขึ้น อาทิ ระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติที่อัพเดตให้สามารถนำรถเข้าจอดในช่องได้เพียงแค่มีเส้นตีกะระยะเอาไว้ ซึ่งแตกต่างจากรุ่นเดิมที่จะต้องมีวัตถุเป็นตัวกะระยะ ซึ่งเอาไว้ให้สาว ๆ จอดในช่องจอดได้อย่างง่ายดาย
ระบบกล้อง 360 องศาของรุ่นท็อปนั้น สว่าง ชัดเจน และให้รายละเอียดในการใช้งานที่ครบถ้วนสมบูรณ์แม้แต่ในยามกลางคืน ก็ยังสว่างชัดเจนอยู่ ขณะที่ความปลอดภัยอื่น ๆ อาทิ ถุงลมนิรภัยรอบคัน ระบบเตือนรถในจุดบอด ระบบเตือนการชนด้านหน้าพร้อมช่วยเบรกก็ให้มาครบ
ขับมาแล้วรู้สึกว่าเปลี่ยนไปมากไหม
เอาจริง ๆ ถ้าจำตัว Mercedes-Benz E350 e รุ่นเก่ากันได้ ก็ไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างกันจนถึงขั้นร้องว้าว เพราะสมรรถนะของรถเอง การตอบสนองด้านการขับขี่และความปลอดภัยต่าง ๆ ที่ให้มาก็ถือเป็นมาตรฐานของอี-คลาส ที่ส่งต่อกันรุ่นต่อรุ่นอยู่แล้วแบบไม่ขาดตกบกพร่อง
ช่วงล่างที่เปลี่ยนเอาช่วงล่างแบบถุงลมออก ยางขนาด 19 นิ้วที่มาพร้อมยางรันแฟลต อาจจะก่ออาการกระด้างกระเด้งกันบ้างเล็กน้อยเวลาที่วิ่งอยู่บนถนนที่เป็นลูกคลื่นหรือขรุขระ แต่การเซตอัพรถของค่ายนี้ก็ทำให้ความมั่นใจในการขับขี่ไม่ได้ลดลงไปแม้แต่น้อยในการใช้งานจริง
เอาเป็นว่าถ้าคุณคิดว่าหน้าตามที่ดูหรูหราพรีเมียมขึ้น ลดความโหดลงไปพอสมควร จะส่งผลกระทบต่อการขับขี่ล่ะก็ ขอบอกเลยว่าคุณก็คิดผิดไปเหมือนกัน เพราะอี-คลาสก็ยังเป็นรถที่พร้อมจะลากเลื้อยไปตามท้องถนนอย่างสนุกสนาน ตามเท่าที่ความสามารถของคนขับจะทำได้นั่นล่ะ
การแข่งขันของตลาดรถที่น่าจะรุนแรงขึ้น
ตลาดรถยนต์นั่งหรูหราระดับกลาง ซึ่งเป็นอีกเซกเมนต์ที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงมาก และเป็นตลาดที่เป็นตลาดลูกผสมระหว่างการใช้งานของรถยนต์แบบครอบครัว รถประจำตำแหน่งของผู้บริหาร รวมถึงทางเลือกของพลังงานใหม่ ๆ ที่เริ่มเติบโตเพิ่มขึ้นในเซกเมนต์นี้
มีการเปลี่ยนแปลงในเซกเมนต์นี้หลายต่อหลายครั้ง จนปัจจุบันแต่ละค่ายเริ่มมีแนวทางในการทำตลาดที่ชัดเจนแยกกันไป บางคนมีทางเลือกเครื่องยนต์ดีเซลและปลั๊กอินไฮบริด บางคนเป็นเบนซินไปเลย ซึ่งทั้งหมดก็ต้องแล้วแต่ลูกค้าว่าต้องการที่จะใช้รถยนต์แบบไหนในชีวิตจริง
ในอดีตนั้น เซกเมนต์นี้โดนถือครองแบบเบ็ดเสร็จโดยค่ายรถตราดาว แต่ในวันนี้ดูเหมือนทุกคนจะพร้อมแข่งขันและนำเสนอนวัตกรรมใหม่ ๆ ในเซกเมนต์นี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ต้องมาดูกันล่ะว่าโลโก้ตราวดาวยังมีมนต์ขลังพอที่จะฟาดฟันกับคู่แข่งในเซกเมนต์นี้ได้หรือเปล่า...