Honda (ฮอนด้า) ยังเดินหน้าบุกตลาดรถยนต์นั่งอีโคคาร์ที่หลากหลายอย่างต่อเนื่อง ด้วยการส่ง 2021 Honda City Hatchback (ฮอนด้า ซิตี้ แฮชท์แบ็ค) รุ่นใหม่ล่าสุดที่มาพร้อมเครื่องยนต์ e:HEV หรือเครื่องยนต์ไฮบริดสำหรับรถยนต์นั่งขนาดเล็กของพวกเขา
เครื่องยนต์รุ่นนี้นั้นไม่ได้ใหม่เอี่ยม เพราะก่อนหน้านี้ก็มีการเปิดตัวใน Honda City (ฮอนด้า ซิตี้) อีโคคาร์รุ่นใหม่ของพวกเขาไปแล้ว และก็เรียกเสียงฮือฮาไปในฐานะรถยนต์นั่งขนาดเล็กที่เพียบพร้อมที่สุดคันหนึ่งในคลาส ด้วยอุปกรณ์ความปลอดภัยที่เพิ่มเข้ามาอีก
ตอนที่พวกเขาเปิดตัวเวอร์ชั่นแฮชท์แบ็ค พร้อม ๆ กับการเปิดตัวซิตี้ อี:เอชอีวี มีการคาดการณ์กันแล้วว่าฮอนด้าจะต้องนำเครื่องยนต์ไฮบริดมาอยู่ในรถแฮชท์แบ็คขนาดเล็กของพวกเขาแน่นอน และฮอนด้าก็ไม่ให้รอนานด้วยการใช้เวลาประมาณครึ่งปีเท่านั้น
ก่อนที่จะเห็นรถคันจริง AutoFun Thailand เคยตั้งคำถามว่ารถยนต์นั่งขนาดเล็กที่ชูจุดขายด้านความเอนกประสงค์ของการพับเก้าอี้รูปแบบต่าง ๆ จะสูญเสียคุณสมบัติเหล่านี้ไปหรือไม่ เมื่อต้องการพื้นที่สำหรับการติดตั้งแบตเตอรี่สำหรับระบบไฮบริดด้านท้ายรถ
แน่นอนว่าคำตอบก็คือไม่ แต่ก็ต้องแลกด้วยอุปกรณ์ช่วยเหลือบางตัวที่หายไป พร้อมค่าตัวที่เพิ่มขึ้นมา 1 แสนบาทจากรุ่นเทอร์โบ อยู่ที่ 8.49 แสนบาท แพงที่สุดในกลุ่มรถยนต์อีโคคาร์ในปัจจุบัน แต่มันคุ้มค่าจริงหรือไม่ มาติดตามบททดสอบเปรียบเทียบกันได้เลย
อ่านเพิ่มเติม: พาชมคันจริง 2021 Honda City Hatchback e:HEV จ่ายเพิ่ม 1 แสนบาท คุ้มไหมมาชมกัน
ไฮไลท์ที่เพิ่มขึ้นมาใน Honda City Hatchback e:HEV
- เครื่องยนต์ Sport Hybrid i-MMD
- ระบบความปลอดภัย Honda SENSING
- ระบบเชื่อมต่อผ่านแอพพลเคชั่น Honda CONNECT
การตอบสนองของเครื่องยนต์ไม่ได้แตกต่างกันขนาดนั้น
หลาย ๆ คนมักจะเข้าใจว่าเครื่องยนต์ไฮบริดนั้นน่าจะให้การตอบสนองที่ดุเดือด ดุดัน เหนือกว่าเครื่องยนต์เทอร์โบอย่างมหาศาล ด้วยการโฆษณาถึงแรงบิด 253 นิวตันเมตรของเครื่องยนต์ไฮบริด ที่ดูเหมือนจะเป็นจุดขายหลักข้อหนึ่งของเครื่องยนต์รุ่นใหม่นี้
แต่จากการวิ่งทดสอบจริง ๆ บนถนนปิด เครื่องยนต์ทั้ง 2 กลับให้เวลาในการตอบสนองการเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงไม่ได้แตกต่างกันนัก โดยเครื่องยนต์ ไฮบริดนั้นทำได้ที่ 10.59 วินาที และเครื่องยนต์เทอร์โบนั้นสามารถทำได้ที่ 10.76 วินาที ดีที่สุด
ความแตกต่างกันจริง ๆ ในเรื่องของเครื่องยนต์จริง ๆ นั้นอยู่ที่ 2 ปัจจัยหลัก ๆ เรื่องแรกก็คือความไหลลื่นต่อเนื่องของเครื่องยนต์และการส่งกำลังของระบบส่งกำลัง ที่เครื่องยนต์ไฮบริดนั้นทำได้อย่างเนียบกริบและเนี๊ยบกว่าเครื่องยนต์เทอร์โบอย่างเห็นได้ชัด
นอกจากนี้ เครื่องยนต์ไฮบริดยังให้สมรรถนะที่ดีกว่าในเรื่องของการประหยัดน้ำมัน ถ้าดูเปรียบเทียบจากมาตรวัดดิจิตอลที่ลองทำได้ เครื่องยนต์ไฮบริดทำได้ที่ 20-21 กิโลเมตรต่อลิตรแบบสบาย ๆ ขณะที่เครื่องยนต์เทอร์โบอยู่ที่ประมาณ 15-16 กิโลเมตรต่อลิตร
ภาพรวมของการขับขี่นั้นถือว่าดีทั้งคู่ การตอบสนองของเครื่องยนต์ที่แตกต่างกัน ใช้งานได้อย่างดีและลงตัว ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ขับขี่ ว่าอยากได้ความไหลลื่นของเครื่องยนต์ไฮบริด หรืออยากได้เครื่องยนต์ที่ตอบสนองแบบชัดเจนอย่างเทอร์โบนั่นเอง
ระบบความปลอดภัยให้มาอย่างครบครัน
ฮอนด้านั้นทำการจับกลุ่มลูกค้ารุ่นท็อปของอีโคคาร์ ด้วยออพชั่นที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่ามีความหนือกว่าคู่แข่งอยู่มากพอสมควร ด้วยการเลือกติดตั้งระบบ Honda SENSING มาให้ใช้งานในรถยนต์ระดับอีโคคาร์ของพวกเขา ทำให้เหนือกว่าคู่แข่งในภาพรวม
ไม่ว่าจะเป็นระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรกด้านหน้า ที่ช่วยเตือนและช่วยเบรกรถเมื่อมีสิ่งกีดขวามด้านหน้า ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หรือคนเดินถนนก็ตาม พร้อมด้วยระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ ที่ทำงานควบคุมด้วยกล้องด้านหน้ารถยนต์
ติดตั้งระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบควบคุมระยะห่างจากรถคันหน้า มาพร้อมระบบช่วยเตือนและช่วยควบคุมรถเมื่อรถออกนอกเลน รวมไปถึงระบบไฟสูงแบบอัตโนมัติที่ควบคุมผ่านกล้อง เพิ่มความปลอดภัยให้กับการขับขี่ทุกแบบ
นอกจากนี้ ในรุ่นไฮบริดยังมาพร้อมระบบฮอนด้า เลนวอทช์ ที่แสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน พร้อมติดตั้งระบบเบรกมือไฟฟ้าพร้อมระบบ Brake Hold ที่ช่วยลดความเมื่อยล้าของผู้ขับขี่ได้ ช่วยหยุดรถยนต์แบบอัตโนมัติเมื่อเหยียบเบรกขณะติดไฟแดง
ผู้ขับขี่สามารถเบรกรถคันนี้ได้อย่างมั่นใจด้วยดิสก์เบรกหลังที่เพิ่มขึ้นมา พร้อมด้วยระบบความปลอดภัยพื้นฐานมากมาย รวมไปถึงถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง ทั้งหมดนี้อาจจะเป็นคำตอบในใจของผู้ใช้งานว่า จ่ายเพิ่มอีก 1 แสนบาท แล้วปลอดภัยเพิ่มขึ้นดีหรือไม่
อุปกรณ์และการตกแต่งที่เพิ่มขึ้นและหายไปในรถคันนี้
มีบางระบบเหมือนกันที่ติดตั้งเพิ่มเข้ามาในรถยนต์ไฮบริดรุ่นใหม่นี้ ที่ทำให้ชีวิตของคุณดูง่ายและสนุกสนานมากขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือระบบสตาร์ทเครื่องยนต์จากรีโมต ที่เหมาะสมกับอากาศประเทศไทยในวันที่ต้องจอดรถติดกลางแดดเป็นระยะเวลานาน ๆ มาก
ขณะที่การตกแต่งของรถนั้นก็ถือว่าให้มาอย่างเต็มด้วยชุดแต่ง RS รอบคัน พร้อมด้วยการเปลี่ยนโลโก้ H ด้านหน้าและด้านท้ายรถเป็นแบบกรอบสีฟ้าในแบบของรถยนต์ไฮบริด ล้ออัลลอยแบบรมดำ 16 นิ้ว ติดตั้งสปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 ครบครัน
ระบบเบาะที่นั่ง ULTR นั้นยังใช้งานได้อย่างเต็มที่ในทุกฟังชั่นส์ ติดตั้งแบตเตอรี่เยื้องไปที่ห้องเก็บสัมภาะด้านท้ายรถ แน่นอนว่าส่งผลให้ต้องมีการถอดล้ออะไหล่ออกไปจากรถคันนี้ แต่ให้ที่ปะยางแบบฉุกเฉินมาแทน พร้อมด้วยห้องเก็บสัมภาระด้านล่างอีกนิด
จำเป็นต้องจ่ายอีก 1 แสนบาทไหม ในเมื่อเทอร์โบก็ใช้ได้
คำตอบนี้อยู่ที่คนซื้อเลยครับ หลาย ๆ คนอาจจะบอกว่า 1 แสนบาทนั้น เมื่อนำมาพิจารณาออกมาเป็นค่าผ่อนรายเดือนนั้นก็ห่างกันไม่มาก ทำไมไม่ซื้อรถยนต์ให้มันดีที่สุดไปเลย ทั้งเรื่องของเทคโนโลยีและระบบอุปกรณ์ความปลอดภัยที่ใส่กันมาอย่างเต็มที่แล้ว
ขณะที่หลาย ๆ คนอาจจะบอกว่า จำเป็นด้วยหรือที่จะต้องจ่ายเพิ่ม เมื่อการใช้งานรถอาจจะไม่ได้มากมายที่จะต้องเน้นอุปกรณ์อะไรขนาดนั้น ชุดแต่งแบบอาร์เอสก็อาจจะดูสิ้นเปลืองไป เพราะถ้าเป็นรุ่นเทอร์โบ ก็ยังมีเกรดย่อยให้ประหยัดค่าตัวลงไปอีก
อย่าลืมว่า เมื่อเวอร์ชั่นไฮบริดมาพร้อมด้วยอุปกรณ์อีเลคทรอนิกส์ที่เพิ่มมากขึ้น ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาในระยะยาวนั้นก็น่าจะเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน ทั้งเครื่องยนต์ไฮบริดเองก็น่าจะต้องมีพิธีการในการดูแลที่เหนือกว่าเครื่องยนต์เทอร์โบหลายสิ่งเหมือนกัน
แน่นอนว่าผมเองชอบเจ้าเครื่องยนต์ไฮบริด การประหยัดน้ำมันและความไหลลื่นของเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังที่มีเยอะกว่า ระบบความปลอดภัยที่ให้มาบางระบบก็ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน ถ้าคิดแบบผมก็คงตัดสินใจไปเจ้าอี:เอชอีวีกันได้ไม่ยาก
แต่หากมองว่าอัตราการผ่อนที่ห่างกันพอสมควรก็ดี หรือความจุกจิกในการดูแลรักษาระบบต่าง ๆ อาจจะกลับมากวนใจได้ในอนาคต เอาจริง ๆ เวอร์ชั่นเทอร์โบนั้นก็ไม่ได้เลวร้าย และสามารถตอบสนองการใช้งานได้เป็นอย่างดี เสียที่เปลืองน้ำมันกว่าชัดเจน
แล้ว Honda จะมีออพชั่นอื่น ๆ ของ City อีกไหม
เอาจริง ๆ ผมยังติดใจอยู่ว่า ทำไมฮอนด้าไม่ยอมทำรุ่นท็อปสุดของเทอร์โบที่มาพร้อมฮอนด้า เซนส์ซิ่งและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและความปลอดภัยอื่น ๆ อาจจะไม่ต้องมีระบบเทียบเท่าไฮบริด เช่น ไม่ต้องมีดิสก์เบรกหลัง แต่ให้อุปกรณ์ความปลอดภัยเพิ่ม
แล้วทีนี้ก็วางราคาสักกึ่งกลางของตัวเทอร์โบรุ่นท็อปและไฮบริด โดยเจ้า Honda City ซีดานก็น่าจะอยู่แถว ๆ 7.89 แสนบาท หรืออย่างฮอนด้า ซิตี้ แฮชท์แบ็ค ก็น่าจะอยู่แถว ๆ 7.99 แสนบาท เอาใจลูกค้าที่เน้นความปลอดภัย โดยที่รู้สึกว่าเครื่องเทอร์โบก็พอแล้ว
แนะนำกันเล่น ๆ แบบนี้ หลาย ๆ คนคงบ่นว่าฮอนด้าเอาอะไรมาให้ก็ไม่เลือก จะไปอยากได้ของที่เขาไม่มีนำเสนอ ก็ถ้าพึงพอใจกับโปรดักส์ไลน์ที่ฮอนด้าให้มาแล้ว ก็ลองเลือกคบหาดูสักคัน เพราะไม่ว่าจะเทอร์โบหรือไฮบริด ก็ตอบรับความต้องการได้ดีไม่แพ้กัน