Nissan Motor (นิสสัน ) เปิดเผยแผนวิสัยทัศน์ระยะยาว Nissan Ambition 2030 ทุ่มงบประมาณ 2 ล้านล้านเยน มุ่งเน้นการสร้างรถยนต์ไฟฟ้า ตอบสนองความต้องการของลูกค้า และการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม
ตลอดระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า Nissan จะนำเสนอรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่น่าตื่นเต้น เทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ พร้อมขยายการปฏิบัติงานไปทั่วโลก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายสูงสุดคือการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปีงบประมาณ 2050
“บริษัทฯ ต้องการยกระดับบทบาทเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า แผนงาน Nissan Ambition 2030 จะทำให้เราขับเคลื่อนเข้าสู่ยุคแห่งระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าและเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำหน้าเพื่อลดคาร์บอนฟุตปรินท์และแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อให้เราเป็นบริษัทที่มีความยั่งยืน” มาโกโตะ ยูชิดะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Nissan กล่าว
รถต้นแบบ Nissan Surf-Out
เร่งการสร้างรถยนต์ไฟฟ้าหลากหลายรุ่น
ระหว่างการแถลงแผนวิสัยทัศน์ครั้งนี้ Nissan ยังนำเสนอรถต้นแบบ 3 โมเดล รุ่นแรกคือ Nissan Surf-Out มาในรูปโฉมรถกระบะพร้อมคำนิยาม “สั่นสะเทือนการผจญภัยของคุณ” เพื่อความสนุกในการเดินทาง ขณะที่รถต้นแบบรุ่นถัดมามีชื่อว่า Nissan Max-Out โดดเด่นด้วยตัวถังแบบรถสปอร์ตเปิดประทุน พุ่งไปสู่ขีดสุดหรือ Max ในทุกด้านทั้งความตื่นเต้น ความบันเทิง และอนาคตที่สดใส
รถต้นแบบ Nissan Max-Out
ปิดท้ายด้วยรถครอบครัว Nissan Hang-Out มาพร้อมรูปโฉมที่ผ่อนคลายแต่เปี่ยมด้วยพลัง พร้อมออกเดินทางได้ตลอดเวลา และมีห้องโดยสารที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างครอบครัวและเพื่อนฝูง ติดตั้งระบบ Pro Pilot รุ่นใหม่ล่าสุดเพื่อให้ผู้โดยสารได้ใช้ทั้งการทำงานและเพื่อสุนทรียภาพได้เป็นอย่างดี
Nissan ในฐานะหนึ่งในผู้บุกเบิกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจะทุ่มเงินลงทุน 2 ล้านล้านเยนหรือประมาณ 6 แสนล้านบาทภายในกรอบ 5 ปีข้างหน้าเพื่อเร่งการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่บนความต้องการของลูกค้า
รถต้นแบบ Nissan Hang-Out
ค่ายรถจากแดนอาทิตย์อุทัยให้คำมั่นว่าจะนำเสนอรถยนต์ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า 23 รุ่น ในจำนวนนี้จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ 15 รุ่นภายในปีงบประมาณ 2030 หรืออีกภายใน 8 ปีข้างหน้านี้ โดยกำหนดเป้าหมายการจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าให้มากกว่า 50% ของยอดขายทั้งหมดของแบรนด์ Nissan และ Infiniti ทั่วโลก
หากมองไปข้างหน้าในระยะกลางหรือภายใน 5 ปีข้างหน้านี้ Nissan จะแนะนำรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ที่ใช้ระบบขับเคลื่อน e-Power ทั้งหมด 20 รุ่น โดยจะแบ่งออกเป็น 4 ภูมิภาคหลัก ได้แก่ ยุโรป ญี่ปุ่น จีน และสหรัฐอเมริกา
Nissan ยังมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนให้มีเทคโนโลยีก้าวล้ำหน้าขึ้นอย่างต่อเนื่อง และแนะนำเทคโนโลยีที่ปราศจากโคบอลต์เพื่อลดต้นทุนการผลิตลง 65% ภายในปีงบประมาณ 2028
ขณะเดียวกัน ภายในปี 2028 พวกเขายังวางแผนเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่แบบแข็งหรือออลโซลิดสเตท (all-solid-state batteries หรือ ASSB) เอกสิทธิ์เฉพาะของ Nissan โดยจะเริ่มต้นการผลิตเพื่อทดสอบใช้งานจริงในปี 2024
Nissan เคลมว่าแบตเตอรี่ ASSB จะมีช่วยลดระยะเวลาชาร์จไฟฟ้าลง 1 ใน 3 และยังทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีความประหยัดพลังงานมากขึ้นและเข้าถึงได้ง่ายกว่าเดิม พร้อมคาดการณ์ว่าแบตเตอรี่ ASSB จะช่วยลดต้นทุนการผลิตชุดแบตเตอรี่ลงเหลือ 75 เหรียญสหรัฐต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงภายในปี 2028 และเหลือ 65 เหรียญสหรัฐต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงหลังจากปีดังกล่าว
Nissan ยังต้องการยกระดับซัพพลายเชนด้านการผลิตแบตเตอรี่เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรทั่วโลกจะช่วยให้กำลังการผลิตแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นเป็น 52 กิกะวัตต์ชั่วโมงในปี 2026 และ 130 กิกะวัตต์ชั่วโมงในปี 2030
ในด้านเทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่ Nissan จะขยายการใช้งานระบบ ProPilot ติดตั้งไว้ในรถยนต์ Nissan และ Infiniti ทั้งหมด 2.5 ล้านคันภายในปี 2026 เดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ พร้อมกับตั้งเป้าหมายใช้งานระบบ LIDAR เจนเนอเรชั่นใหม่ในรถยนต์ทุกรุ่นภายในปี 2030