อย่างไรก็ตาม Tesla ผ่านพ้นปัญหาดังกล่าวมาได้อย่างสง่างาม โดยในปีนี้สามารถสร้างผลกำไรรายไตรมาสได้สำเร็จ และยังเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกที่เข้าสู่ดัชนี S&P 500
กลยุทธ์ของ Apple และ Tesla คล้ายกัน?
ถึงแม้จะไม่เคยออกมายืนยันอย่างเป็นทางการ แต่ Apple ตกเป็นข่าวว่ากำลังพัฒนารถพลังงานไฟฟ้ามานานหลายปีแล้วภายใต้โครงการ Project Titan และยังว่าจ้างพนักงานระดับหัวกะทิของ Tesla หลายคนให้ไปร่วมงานด้วย ขณะเดียวกัน ยังซื้อกิจการหลายบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านระบบขับขี่อัตโนมัติ
กระทั่งในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา Apple กลับมาเป็นข่าวหนาหูอีกครั้งว่ากำลังพัฒนารถพลังงานไฟฟ้าขับขี่อัตโนมัติเพื่อออกจำหน่ายภายในปี 2024 ซึ่งคาดว่าข่าวนี้ได้กระตุ้นให้มัสก์ออกมาทวีตว่าเขาเคยติดต่อทิม คุกเพื่อยื่นข้อเสนอขายบริษัทให้ Apple ในปี 2017
“ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด ผมเคยติดต่อไปยัง Apple เพื่อถามถึงความเป็นไปได้ในการซื้อ Tesla แต่ทิม คุก ปฏิเสธที่จะเข้าประชุมกับผม” มัสก์ระบุในทวิตเตอร์
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าดีลดังกล่าวเกิดขึ้นจริง
ราคาหุ้นของ Apple และ Tesla พุ่งทะยานหลายเท่าตัวนับตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมา แต่ถึงแม้ Tesla จะมีอัตราเติบโตสูงถึง 1,400% จากเมื่อ 3 ปีก่อน แต่มูลค่าของค่ายรถพลังไฟฟ้ารายนี้ก็ยังอยู่ที่เพียง 1 ใน 3 ของมูลค่าตลาดของบริษัท Apple
โปรเจคต์รถยนต์พลังงานไฟฟ้าของ Apple อาจเสร็จสมบูรณ์และออกจำหน่ายไปแล้ว ขณะเดียวกัน Tesla ก็จะมีศักยภาพสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ยังมิต้องพูดถึงระบบขับขี่อัตโนมัติที่ต่างฝ่ายต่างพัฒนาของตนเองก็คาดว่าจะก้าวล้ำหน้าคู่แข่งไปไกล
ถ้าดูในด้านทิศทางการออกแบบ Apple และ Tesla ยังมีสไตล์คล้ายกันด้วย นั่นคือการเน้นความเรียบง่ายแบบมินิมอลแต่แฝงด้วยความหวือหวาเร้าใจเพราะมีภาพลักษณ์แบรนด์ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งและยังมี “สาวก” ที่คอยเฝ้าติดตามอย่างเหนียวแน่นทั่วโลก
การจัดจำหน่ายที่มี “สโตร์” เป็นของตัวเองยังเป็นทิศทางที่คล้ายกันของทั้ง Apple และ Tesla นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายยังมักว่าจ้างอดีตพนักงานของแต่ละฝ่าย บ่งชี้ว่าทั้งสองฝ่ายต้องการ “เรียนรู้” แนวทางการทำงานของกันและกันอีกด้วย
แต่ในท้ายที่สุด ดีลนี้ก็ยังคงเป็นความฝันสำหรับคอรถยนต์ที่ชื่นชอบเทคโนโลยีต่อไป การเติบโตราวกับติดจรวดไอพ่นของ Tesla ที่ยิ่งพุ่งสูงเท่าไหร่ ความหวังที่จะได้เห็นการรวมกิจการก็ยิ่งรางเลือนมากเท่านั้น