ปี 2020 นับได้ว่าเป็นปีแห่งการนำมาสู่นวัตกรรมที่จะลดการใช้เชื้อเพลิงที่มีจำกัดบนโลกนี้ เครื่องยนต์สันดาปกำลังจะถูกยกเลิกการจำหน่าย ในระยะเวลาที่สั้นกว่าที่หลายคนคาดคิดเอาไว้
สำหรับรถเหล่านี้ เทรนด์ดังกล่าว ไม่มีความสำคัญอะไรเลย
วันนี้เราได้รวบรวมรถใหม่ที่เปิดตัวในประเทศไทยเมื่อปี 2020 ซึ่งจำเป็นต้องผ่านการทดสอบอัตราสิ้นเปลือง ซึ่งเป็น 1 ใน 3 การทดสอบที่จะปรากฏบน Eco Sticker ซึ่งเริ่มต้นในปี 2017 โดยใช้มาตรฐานแบบ UN R101
แต่เราไม่ได้รวบรวมรถที่ประหยัดน้ำมันที่สุดผ่านมาตรฐานการทดสอบของรัฐนี้นะครับ วันนี้เราจะมาดูรถที่เปลืองน้ำมันที่สุด 5 รุ่นกัน
แต่ก่อนอื่น…
มาตรฐาน UN R101 บน Eco Sticker ทดสอบกันยังไง?
ตามเว็บไซต์ซึ่งรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ Eco Sticker ของรถยนต์ใหม่ที่ทำการทดสอบทุกรุ่น ได้ระบุเอาไว้ว่า การทดสอบอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงตามมาตรฐาน จะทำโดยการนำรถมา “วิ่งบนลูกกลิ้งหรือแชสซีส์ไดนาโมมิเตอร์ในห้องปฏิบัติการ” และถ้านำว่าไดนาโมมิเตอร์มันคุ้นหู ก็ถูกต้องครับ มันใช้ระบบและเทคโนโลยีเดียวกับไดโนวัดแรงม้าที่ชาวรถแต่งจะรู้จักกันดี
การทดสอบนี้จะใช้การจำลองวิ่ง 4 วัฏจักรตามสภาวะการใช้งาน แบ่งเป็น ในเมือง 780 วินาที และนอกเมือง 400 วินาที ก่อนที่จะนำมาเข้าสูตรคำนวณออกมาเป็นการวัดแบบผสม และขณะเดียวกันก็จะมีการวัดอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ด้วย
แน่นอนว่าการทดสอบเช่นนี้ อาจจะนำมาเทียบเคียงกับอัตราสิ้นเปลืองในการใช้งานจริงได้ไม่เต็มที่ แต่ก็อาจจะพอบอกถึงประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ในแบบที่สามารถพิสูจน์ได้ ทดสอบซ้ำได้ แน่นอนสม่ำเสมอครับ
เมื่อเราทราบเช่นนี้แล้ว ก็มาดูกันว่ารถรุ่นไหนในปี 2020 ที่กินน้ำมันมากที่สุด
Isuzu MU-X 3.0 Ultimate 4WD
7.3l/100km
ราคาจำหน่าย 1,579,000 บาท
Isuzu MU-X (อีซูซุ มิวเอ็กซ์) เป็นรถ SUV พื้นฐานรถกระบะที่เปิดตัวในไทย ไปเมื่อไม่นานนี้ และจริง ๆ แล้ว อัตราสิ้นเปลือง 7.3 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ของรุ่น 3.0 ขับเคลื่อน 4 ล้อ ก็เทียบเท่ากับรถ SUV พื้นฐานกระบะที่เปิดตัวมาก่อนหน้านี้ รุ่น อื่น ๆ
Isuzu MU-X 3.0 Ultimate 4WD ใช้เครื่องยนต์แบบ 4JJ3 เชื้อเพลิงดีเซล ขนาด 3.0 ลิตร 4 สูบ สร้างพละกำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 1,600 ถึง 2,600 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
4JJ3 DDi 3.0 ลิตร ดีเซล
สาเหตุที่ Isuzu MU-X 3.0 Ultimate 4WD มีอัตราสิ้นเปลืองที่สูง ก็เนื่องจากเครื่องยนต์ 4JJ3 นี้ มีความเก่าพอสมควร และยังต้องพ่วงระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออีกด้วย แต่อย่างที่บอกไปแล้วครับว่า รถยนต์ PPV รุ่นอื่น ๆ ที่ใช้เครื่องยนต์พละกำลังใกล้เคียงกัน ก็มีอัตราสิ้นเปลืองที่ใกล้เคียงกันครับ
Mercedes-AMG CLA45 S 4MATIC+
8.7l/100km
ราคา 4,999,000 บาท
Mercedes-AMG CLA 45 S 4MATIC+ (เมอร์ซิเดส เอเอ็มจี ซีแอสเอส45 เอส 4แมติก พลัส) เป็นรุ่นแรงสุดของรถสปอร์ตซีดานตัวเล็กของค่าย Mercedes-Benz และอัตราสิ้นเปลืองบน Eco Sticker ที่ 8.7 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ก็ใกล้เคียงกับแม้แต่รุ่นใหญ่อย่าง Mercedes-Benz C43 AMG (เมอร์ซิเดส เบนซ์ ซี43 เอเอ็มจี)
Mercedes-AMG CLA45 S 4MATIC+ ใช้เครื่องยนต์แบบ M139 ของ AMG เชื้อเพลิงเบนซิน ขนาด 2.0 ลิตร 4 สูบ พ่วงเทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ Twin-Scroll สร้างพละกำลังสูงสุด 420 แรงม้า ที่ 6,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 5,000 ถึง 5,250 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติคลัชคู่ 8 จังหวะ ผ่านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
2.0 ลิตร 4 สูบ 420 แรงม้า
Mercedes-AMG CLA 45 S 4MATIC+ แน่นอนว่าเมื่อเห็นว่าเป็นเครื่อง 2.0 ตัวเลขนี้อาจจะดูแย่ แต่เราต้องไม่ลืมว่าเครื่องยนต์ที่มีขนาดเล็กนี้ สร้างพละกำลังถึง 420 แรงม้า ทำให้อัตราเร่ง 0-100km/h อยู่ที่เพียง 4 วินาทีเท่านั้น ถ้าไม่ใช่รถคันอื่น ๆ บนลิสต์นี้ ก็คงเอามากินมันบนถนนได้ยากครับ
Audi RS4 Avant Quattro
9.7l/100km
ราคา 5,899,000 บาท
Audi RS4 Avant Quattro (อาวดี้ อาร์เอส4 อาวอง ควอตโตร) เป็นรถ Audi ทรงสเตชั่นวากอน แต่ไม่ใช่รถสำหรับพ่อบ้านแม่บ้านบรรทุกสัมภาระอย่างเดียว เพราะรถพ่อบ้านราคา 5,899,000 บาทคันนี้ สามารถทำอัตราเร่ง 0-100km/h ได้ภายใน 4.1 วินาที
Audi RS4 Avant Quattro ใช้เครื่องยนต์เชื้อเพลิงเบนซิน แบบ V6 ขนาด 2.9 ลิตร พ่วงเทอร์โบชาร์จเจอร์ 2 ลูก สร้างพละกำลังสูงสุด 450 แรงม้า ที่ 5,700 ถึง 6,700 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร ที่ 1,900 ถึง 5,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะผ่านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Quattro
เครื่องยนต์ V6 2.9 ลิตร พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
ถ้าหากเราพิจารณาถึงทุกสิ่งแล้ว อัตราสิ้นเปลืองของ Audi RS4 Avant Quattro ก็ทำได้อยู่ในระดับที่ดีมากเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพ และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีความอเนกประสงค์รวมอยู่ด้วย
Porsche 911 Targa 4S
9.9l/100km
ราคา 13,450,000 บาท
ชื่อนี้เป็นใครก็ต้องรู้จัก กับ Porsche 911 Targa 4S (ปอร์เช่ 911 ทาร์กา 4เอส) ซึ่งเพิ่งเปิดตัวใหม่ 992 ไปไม่นานนี้ และแน่นอนว่ารถสปอร์ตในตำนานแบบ Porsche 911 ก็ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่ออัตราสิ้นเปลืองเป็นความสำคัญอันดับแรก จึงมีอัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 9.9 ลิตร ต่อ 100 กิโลเมตร
แต่นั่นก็ไม่ถูกต้องเสียหมด เพราะ Porsche 911 Targa 4S ใช้เครื่องยนต์แบบใหม่ เชื้อเพลิงเบนซิน รูปแบบ 6 สูบ Boxer ขนาด 3.0 ลิตร พ่วงด้วยเทอร์โบชาร์จเจอร์ กำลังสูงสุดที่ 385 แรงม้า 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 1,950 ถึง 5,000 รอบต่อนาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติแบบคลัชคู่ 8 จังหวะ ผ่านระบบส่งกำลังขับเคลื่อน 4 ล้อ
เครื่องยนต์ตัวนี้เป็นเครื่องที่ทำให้แม้แต่รุ่นพื้นฐานของ Porsche ก็กลายมาเป็นเครื่องยนต์ Downsizing และพ่วงระบบเทอร์โบชาร์จเจอร์เอง อันมีเป้าประสงค์เรื่องอัตราสิ้นเปลืองและการปล่อยมลพิษ เพราะฉะนั้น แม้จะอยู่ในอันดับที่สูง แต่ก็ไม่ได้แย่เลยครับถ้าหากพิจารณาถึงประสิทธิภาพ แถมยังเปิดหลังคารับลมได้อีกต่างหาก
Audi RS Q8 Quattro
12.7l/100km
ราคา 10,899,000 บาท
Audi RS Q8 Quattro (อาวดี้ อาร์เอส คิว8 ควอตโตร) เป็นรถ SUV ขนาดยักษ์ใหญ่สุดของค่าย Audi ดูในรูปอาจจะไม่เท่าไหร่ ต้องเห็นคันจริงแล้วจะรู้ว่ามันเป็นพี่เบิ้ม อีกทั้งยังเป็นรถ Hybrid คันเดียวในลิสต์นี้ แต่ก็ยืนหนึ่งในเรื่องอัตราสิ้นเปลืองที่สูงที่สุดเช่นกัน ที่ 12.7 ลิตร ต่อ 100 กิโลเมตร
Audi RS Q8 ใช้เครื่องยนต์เชื้อเพลิงเบนซิน แบบ 8 สูบ V8 ขนาด 4.0 ลิตร พ่วงด้วยเทอร์โบชาร์จเจอร์ 2 ลูก และระบบมอเตอร์ Mild-Hybrid 48 โวลต์ ให้กำลังสูงสุด 600 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 800 นิวตันเมตร ที่ 2,200 ถึง 4,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ Quattro
เครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตร พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
Audi RS Q8 Quattro สามารถทำอัตราเร่ง 0-100km/h ได้ภายใน 3.8 วินาที เป็นหนึ่งใน SUV ที่แรงที่สุดในตลาด ถ้าสีเขียวที่เป็นตัวโชว์ยังไม่เจ็บพอ เวลาเติมน้ำมันก็อาจจะเจ็บกระเป๋าเงินบ้างเล็กน้อยนะครับ
สรุป
แน่นอนว่าลำดับที่ถูกจัดมานี้นั้น ไม่ใช่รถที่กินน้ำมันมากที่สุดบนถนนจริง เพราะว่าการทดสอบนี้ค่อนข้างเป็นมาตรฐานที่อาจจะมีความคลาดเคลื่อนในความเป็นจริงได้
อีกอย่าง เราจัดลำดับกันเฉพาะรถที่เปิดตัวในปี 2020 เท่านั้นนะครับ และยังมีรถที่เปิดตัวก่อนหน้านี้ที่มีอัตราสิ้นเปลืองใน Eco Sticker ที่มากกว่า
และพวกเราก็ไม่ได้คาดหวังว่า ผู้ที่สนใจในรถเหล่านี้จะสนใจในอัตราสิ้นเปลืองอยู่แล้วด้วย เนื่องจากรถเหล่านี้มีคุณประโยชน์นอกเหนือจากแค่อัตราสิ้นเปลืองกันทั้งสิ้นนะครับ