2022 Honda HR-V e:HEV (ฮอนด้า เอชอาร์-วี) เปิดตัวในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ พร้อมประกาศราคาจำหน่ายใน 3 รุ่นย่อย ไล่ไปตั้งแต่ 9.79 แสนบาท - 1.179 ล้านบาท และสร้างยอดจองไปกว่า 2,500 คันหลังเปิดตัวเพียงแค่ 2 สัปดาห์แรกเท่านั้น
การมาถึงของเอชอาร์-วีนั้น ทำให้ตลาดรถยนต์บี-เอสยูวีที่กำลังเติบโตอยู่นั้นร้อนระอุ เพราะตลาดนี้แม้จะมีคู่แข่งอยู่หลายรายแต่ก็ไม่ได้สินค้าใหม่มานาน และเป็น Toyota Corolla Cross (โตโยต้า โคโรลล่า ครอส) ที่เก็บยอดจำหน่ายมาเรื่อย ๆ โดยตลอด
อย่างไรก็ตาม การเปิดตัวของ Haval Jolion (ฮาวาล โจไลอ้อน) ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ซึ่งแน่นอนว่าเกรทวอลล์ต้องการสร้างปรากฏการณ์ยอดขายกระฉูดแบบในซี-เอสยูวีที่ Haval H6 (ฮาวาล เอช6) เปิดตัวและขึ้นเป็นผู้นำตลาดอย่างต่อเนื่องมาแล้ว
เพราะฉะนั้นหากดูจากภาพรวมของการแข่งขันนั้น ตลาดเซกเมนต์นี้ย่อมเป็นตลาดที่ฮอนด้าเองก็ต้องเดินหน้าอย่างเต็มที่เพื่อการกลับไปลุ้นแชมป์อย่างเต็มตัว จะเห็นได้จากการใส่ทุกอย่างมาในรถทั้งเครื่องยนต์ไฮบริด Honda SENSING ที่จัดมาเต็มที่
AutoFun Thailand ลองทดสอบในทริป พบว่าเครื่องยนต์ของฮอนด้าให้อัตราเร่งที่เนียนกว่าคู่แข่ง แถมอัตราการสิ้นเปลืองที่โดดเด่น และความสะดวกสบายในการเดินทางที่ยอดเยี่ยม แม้จะยังขัดใจกับอุปกรณ์บางชิ้นบางจุดที่เลือกใส่มาในรถก็ตามที
งานนี้บอกเลยว่าตลาดเดือดแน่นอน!!!
ความเนียนในภาพรวมคือจุดเด่นของรถคันนี้
ฮอนด้าเองถือว่าทำการปรับเกี่ยวกับรถคันนี้ไปอย่างมากมายเหมือนกัน เริ่มต้นตั้งแต่การออกแบบจากเดิมที่เอชอาร์-วีจะเป็นครอสโอเวอร์ที่เน้นครอบครัวเป็นหลัก และหันมาทำให้รถคันนี้ออกมาในรูปทรงของเอสยูวีที่ใช้งานได้อย่างหลากหลายขึ้น
เครื่องยนต์ก็ปรับมาใช้ไฮบริดอย่างเดียว โดยผู้บริหารยืนยันว่าจะไม่มีทางเลือกเครื่องยนต์เบนซินธรรมดาเพิ่มในอนาคตอย่างแน่นอน แถมเป็นครั้งแรกที่ฮอนด้าให้ระบบความปลอดภัยฮอนด้า เซนส์ซิ่งมาอย่างเต็มระบบตั้งแต่รุ่นย่อยรุ่นแรกใน 3 รุ่นย่อย
และแม้จะมีคู่แข่งเพิ่มเข้ามา แต่ฮอนด้าก็ยังดูมั่นใจในการออกแบบรถของตัวเองและการเซตอัพที่น่าจะโดนใจลูกค้าชาวไทยมากกว่าด้วยประสบการณ์ที่ยาวนานกว่า การเข้าใจตลาดที่เหนือกว่า ซึ่งหากมองในภาพรวมก็ถือว่าไม่มีอะไรให้ติในการขับขี่
เครื่องยนต์ไม่แรงล้น แต่สมูธและต่อเนื่อง
หลายคนคาดหวังว่าเครื่องยนต์อี:เอชอีวีของฮอนด้าจะต้องแรงทะลุเหนือกว่าคู่แข่งอย่างเจ้าสิงโตร่าเริงที่ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงไปที่ 10.38 วินาที และมีท็อปสปีดที่ 157 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แม้จะเป็นเครื่องยนต์ไฮบริดที่เน้นการประหยัด
ในเอชอาร์-วีนั้น เราลองอัตราเร่งกันอยู่ 2-3 รอบ และพบว่ารอบที่ดีที่สุดที่ทำได้อยู่ในโหมดมาตรฐานที่ 9.86 วินาที ดีกว่าในโหมดสปอร์ตด้วยซ้ำ และทำความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งก็เริ่มนิ่ง ๆ กันที่ 168-169 ก็เลยไม่ได้ลากให้ไปต่อ
ถ้ามาดูตัวเลข 0-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงกันบ้าง โจไลอ้อนนั้นทำไปได้ที่ 4.38 วินาที ขณะที่เอชอาร์-วีทำได้ที่ 4.21 วินาที ซึ่งก็เป็นตัวเลขที่ดีกว่านิดหน่อย ซึ่งจากตัวเลขจะเห็นว่าสมรรถนะโดยรวมนั้นถือว่าไม่ได้แตกต่างอะไรมากในการปฏิบัติจริง ๆ
แต่สิ่งที่ลูกค้าฮอนด้าจะสัมผัสได้มากกว่าก็คือความต่อเนื่องและความไหลลื่นของเครื่องยนต์ที่ส่งกำลังให้กับรถแบบเรื่อย ๆ ไม่มีการตัดหรือกระชากจนสะดุดในการขับขี่ เรียกว่ามีความเป็นธรรมชาติที่เหนือกว่าในการขับขี่และใช้งานเครื่องยนต์ก็ไม่ผิด
การส่งกำลังของเกียร์เป็นไปอย่างไหลลื่น แม้จะมีเสียงของมอเตอร์ที่ค่อนข้างดังตลอดเวลาที่ขับขี่ที่ความเร็วสูง แต่การเก็บเสียงอื่น ๆ ของรถนั้นค่อนข้างดีทั้งจากกระจกและจากถนน เรียกได้ว่าเป็นรถที่ขับได้สบายทั้งย่านความเร็วต่ำ-กลาง-สูงเลยล่ะ
ช่วงข้างเซตมานุ่ม เน้นเดินทางทั้งใกล้-ไกล
การเซตอัพช่วงล่างคือจุดที่แสดงความชำนาญของฮอนด้าได้เป็นอย่างดีในการเอาใจลูกค้า และตำแหน่งของรถที่สูงขึ้นมาก็ไม่ได้มีผลอะไร เอชอาร์-วียังเป็นรถที่เน้นความสะดวกสบายในการขับขี่และโดยสาร เดินทางทั้งใกล้และไกลได้อย่างง่ายดาย
แม้ว่าตำแหน่งการนั่งของรถนั้นจะสูงโดดขึ้นมากว่าปกติ อันเป็นผลจากการยกตัวรถขึ้นมา แม้จะปรับตำแหน่งต่ำสุดก็ยังสูงโดดอยู่ดี แต่ก็แลกมาด้วยทัศนวิสัยของรถที่ยอดเยี่ยม ประกอบกับฝากระโปรงที่ออกแบบมากดต่ำลงไปเพิ่มมุมมองในการขับ
การรองรับแรงของช่วงล่างนั้นให้ทั้งความนุ่มนวลในการขับขี่และให้ความมั่นใจในการใช้งาน ซึ่งช่วงที่เรามาทดสอบนั้นเจอกับฝนตกอย่างรุนแรง ก็ไม่ได้ทำให้ความมั่นใจในการใช้งานรถคันนี้ลดลงไปแต่อย่างใด แถมยังเอาโค้งทุกโค้งอยู่แบบสบาย
ส่วนหนึ่งที่ต้องขอชมก็คือการเลือกใช้ยางรถยนต์รุ่นใหม่ของบริดจ์สโตน ที่ให้ความนุ่ม เงียบ และให้การรีดน้ำที่ดี ซึ่งจากการสอบถามบริดจ์สโตนมา ฮอนด้า เอชอาร์-วี คือรถรุ่นแรกในประเทศไทยที่เลือกยางรุ่นนี้มาใช้สำหรับการประกอบรถยนต์
การขับขี่ที่ดีมาพร้อมกับอัตราการสิ้นเปลืองที่ดีเยี่ยม แม้ว่าในทริปนี้เราจะไม่ได้ลองอัตราสิ้นเปลืองจากการขับขี่จริง แต่หน้าจอดิจิตอลในรถก็แสดงผลการประหยัดน้ำมันอยู่ที่ 18.xx ลิตรต่อกิโลเมตร ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ดี หากเทียบกับการขับขี่วันนี้
ปัญหาอยู่ที่อุปกรณ์จุกจิกไม่โดนใจ
เรื่องการขับขี่ทั้งหมดนั้นไม่ใช่ปัญหาอะไร อย่างระบบที่ให้มามากมายทั่วคันรถนั้นก็อยู่กันแบบเจียมเนื้อเจียมตัว ไม่ได้ออกมาเตือนหรือส่งเสียงดังจนต้องหาที่ปิด แต่เมื่อต้องออกมาทำหน้าที่ ทุกระบบก็แข็งขันในการออกมาปกป้องผู้โดยสารทุกตำแหน่ง
อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้ระบบหลังคากระจกพาโนรามิกแบบเต็มคันที่เรามักจะพบเห็นในรถยุโรป ทำให้หลาย ๆ คนที่ไม่เคยชิน อาจจะไม่เข้าใจแผ่นปิดกระจกตอนหลัง ที่เกิดขึ้นจากการออกแบบรถเป็นทรงคูเป้ ทำให้ติดรางม่านแบบเลื่อนไม่ได้ซะงั้น
อย่างไรก็ตาม ฮอนด้าให้ความมั่นใจว่ากระจกบนหลังคาที่เคลือบสารกันความร้อนมานั้น สามารถกันความร้อนและกันยูวีได้อย่างดี ตัวคลิปที่เอาไว้ล็อกและยึดติดแผ่นปิดกระจกก็มีอายุการใช้งานที่ยืนยาว ไม่เป็นปัญหาในการใช้งานแน่ ก็ต้องดูกันไป
หลาย ๆ คนอาจจะไม่พอใจจอกลางขนาด 8 นิ้วที่ดูเหมือนยกมาจากรถรุ่นเก่า ๆ แต่โดยส่วนตัวผมมองว่าจอไม่ใช่ปัญหา แต่ความคมชัดของกล้องทั้งกล้องมองหลังและระบบ Honda LaneWatch ที่ควรจะปรับปรุงให้คมชัดมากกว่านี้ได้แล้วในรุ่นใหม่
เพราะถ้าเทียบกับกล้อง 4 ล้านพิกเซลของคู่แข่งนั้นถือว่าแตกต่างกันมาก นอกจากนี้ พวกระบบอย่างเซนเซอร์หรือกล้องรอบทิศทางก็ยังไม่ติดตั้งมาให้แบบฮอนด้าสไตล์ แต่แอร์ข้างที่ปรับโหมดกระจายข้างได้นั้น ใช้งานได้ดีกว่าแอร์แบบเป่าตรงจริง ๆ
เทียบกับคู่แข่งแล้วเป็นอย่างไรบ้าง
ด้วยการทำตลาดในประเทศไทยมาแล้ว 1 เจนเนอเรชั่นเต็ม ๆ และทำการปรับเปลี่ยนตัวรถไปแบบพลิกหน้ามือ ฮอนด้าก็ยังยืนว่ารถคันนี้ยังเจาะกลุ่มลูกค้ากลุ่มเดิมอยู่ คือถ้าเป็นกลุ่มครอบครัวเล็กหรือกลุ่มวัยทำงานรุ่นใหม่ ไม่น่าจะพลาดไปจากเอชอาร์-วี
การขับขี่ในภาพรวมนั้นให้ความเนียนที่เหนือกว่ารถหลาย ๆ รุ่นในตลาดอย่างชัดเจน ไม่ได้สนุกสนานปรู๊ดปร๊าด แต่เพียงพอต่อความต้องการในการใช้งานแน่นอน อุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ให้มาก็คือที่สุดเท่าที่ฮอนด้าจะมีมาให้ได้แล้วในยุคปัจจุบันนี้
หลาย ๆ คนอาจจะมองว่าในแง่ของความน่าตื่นเต้นเร้าใจของสินค้า พอมองไปที่คู่แข่งรายใหม่ที่เข้ามาอาจจะดูต้องเปรียบเทียบกันบ้าง แต่ผมกับคิดว่าฮอนด้าเองก็คงประเมินแล้วว่าด้วยของที่ให้กับราคาที่วางไว้ตั้งแต่ต่ำล้านถึงไม่เกินล้านสองคือพอ
แม้คู่แข่งจะมาพร้อมระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ เลเวล 2+ แต่ก็โดนบ่นเรื่องอุปกรณ์หายไปเยอะเหมือนกัน ฮอนด้าเองที่โดนเมนต์ ๆ กันเรื่องอุปกรณ์ แต่ก็เข้าใจผู้บริโภคชาวไทยว่าประตูบานหลังแบบไฟฟ้านี่มันสำคัญต่อการใช้งานและต่อจิตใจจริง ๆ
ยิ่งมาพร้อมระบบปิดอัตโนมัติเมื่อเดินออกจากรถ ที่ไม่ได้อัตโนมัติจริงเพราะยังต้องกดปุ่มทุกครั้งอยู่ แต่ระบบล็อกรถเมื่อเดินออกจากตัวรถนี่ปรบมือให้เลย เหมาะกับมนุษย์ขี้ลืมหลาย ๆ คน ไหนจะเบาะหลังแบบปรับวางสัมภาระได้หลากหลายรูปแบบอีก
นอกจากนี้ก็มีฟังชั่นส์หลาย ๆ อย่างที่ชอบเป็นการส่วนตัวในรถคันนี้ อย่างระบบ Auto Brake Hold ที่ไม่ต้องมานั่งกดเปิดทุกครั้งที่สตาร์ทเครื่องใหม่ อันนี้ถือเป็นการแก้ไขปัญหาที่ลูกค้าที่ชื่นชอบการใช้งานบ่นมานานแสนนาน ว่าทำไมจะต้องเปิดใหม่ทุกครั้ง
จริง ๆ มีอีกหลายระบบที่ยังไม่ได้ลองใช้ เช่น ระบบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชันอัตโนมัติที่ใช้ได้ตั้งแต่ 3-20 กิโลเมตร ไว้ยืมรถมาจะไปหาที่ใช้ ส่วนสายโทรศัพท์มือถือจะต้องชอบการเชื่อมต่อที่หลากหลาย และที่ชาร์จแบบไร้สายที่ห้ามลืมกดปุ่มเปิดก่อนใช้
เมื่อวานนี้ในงานแถลงข่าว ยังมีการแซวผู้บริหารของฮอนด้าอยู่เลยว่า เปิดราคามากดดันคู่แข่งที่จะเปิดราคากันช่วงสัปดาห์นี้มาก เพราะหากทำราคามาไม่จี๊ดพอ รุ่นล่าง-กลางของเอชอาร์-วี ก็พร้อมจะกลับไปกวาดต้อนลูกค้าที่ลังเลกลับมาอย่างแน่นอน
ยกเว้นแต่พวกเขาฮึดสู้ กดราคาจำหน่ายลงไปอย่างรุนแรง ซึ่งก็จะทำให้ตลาดแข่งขันกันสนุกสนาน และถือเป็นกำไรของผู้บริโภค ที่อาจจะได้ใช้สินค้าที่น่าสนใจในราคาที่จับต้องได้มากขึ้น งานนี้ใครลังเล อาจจะต้องรอข้อมูลครบ ๆ แล้วมาวัดกันอีกที...