ในวันนั้น ผู้บริหารของฮอนด้าระบุว่าพวกเขามีแผนที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดแน่นอน และบอกว่าขอเวลาอีกสักครู่ แต่ผ่านมาอีกอึดใจเดียว ฮอนด้า แอคคอร์ด เวอร์ชั่นอัพเกรดใหม่ก็ถูกเปิดตัวตามมาอย่างว่องไว เรียกว่าทันใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่ต้องให้รอกันนาน
แถมยังเป็นเหมือนกันดับเครื่องชนครั้งใหญ่ เมื่อการอัพเกรดในครั้งนี้ ฮอนด้าเลือกติดตั้งระบบ Honda SENSING (ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง) ให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานตั้งแต่รุ่นเริ่นต้นอย่างเทอร์โบ พร้อมทำการปรับราคาหลักหมื่นบาท ทำให้ตัวรถมีความคุ้มค่า
จะเปรียบเป็นการทุบหม้อข้าวตีเมืองก็คงไม่ผิด เพราะการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ทำให้ตลาดรถยนต์นั่งขนาดใหญ่ราคาต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท เรียกว่าไม่มีใครมาท้าชนได้ และที่น่าจะถามมากกว่าก็คือ ลูกค้าของไฮบริดเองจะไหลลงมาที่เทอร์โบกันแทนหรือเปล่า
AutoFun Thailand ขอสรุปความคิดของเราให้ฟังตามต่อไปนี้...
ย้อนกลับไป 3 แสนบาทคือราคาของความปลอดภัย
ก่อนหน้าที่จะทำการปรับโฉม ราคาจำหน่ายของฮอนด้า แอคคอร์ด เทอร์โบและไฮบริดนั้น จะแตกต่างกันอยู่ประมาณ 2-3 แสนบาทโดยประมาณ ขึ้นกับว่าเทียบกับรุ่นย่อยไหน โดยไฮไลท์ที่สำคัญที่สุดก็คือการแตกต่างกันของระบบความปลอดภัยที่ให้มา
แอคคอร์ด ไฮบริดนั้น มาพร้อมเครื่องยนต์ไฮบริดที่ให้สมรรถนะและการขับเคลื่อนที่เนี๊ยบกว่า และติดตั้งระบบช่วยเหลือด้านความปลอดภัยอย่างฮอนด้า เซนส์ซิ่ง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของระบบช่วยเหลือของรถที่ทำให้คุณควบคุมรถได้อย่างลงตัวมากกว่าเดิม
ก็เลยกลายเป็นคำถามที่หลายคนมักจะได้คำตอบเสมอเวลาถามเรื่องว่าจะซื้อไฮบริดหรือเทอร์โบดีกว่ากัน ว่าจริง ๆ แล้วเครื่องยนต์ก็ไม่ได้เลวร้ายทั้งคู่ ถ้าอยากได้ระบบความปลอดภัยก็ต้องยอมจ่ายแพงกว่าเดิม ซึ่งราคาหลักแสนก็ทำให้หลายคนคิดหนัก
มาวันนี้ ฮอนด้าทำการติดตั้งระบบฮอนด้า เซนส์ซิ่ง ให้กับฮอนด้า แอคคอร์ด อีเแอล เทอร์โบ พร้อมเคาะราคาเพิ่มมาแค่ 2.4 หมื่นบาท ทำให้ราคาจำหน่ายของรถนั้นอยู่ที่ 1.499 ล้านบาทเท่านั้น เรียกว่าเป็นรถราคาต่ำกว่าล้านห้าที่ดูคุ้มค่าที่สุดแล้วตอนนี้
ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงเรื่องระบบความปลอดภัยเท่านั้น แต่พวกเขาก็ให้อุปกรณ์ต่าง ๆ รวมถึงเรื่องของการตกแต่งมาเพิ่มเติม แม้จะขาดพวกเซนเซอร์ช่วยถอยอยู่ก็ตาม แต่เชื่อเถอะว่าระบบที่ให้มานั้นคุ้มค่ามาก และไม่สามารถไปติดตั้งเองข้างนอกได้ด้วย
ทำไมเราถึงตื่นเต้นกับ Honda SENSING
แน่นอนว่าในปัจจุบันนี้ ฮอนด้า เซนส์ซิ่งแทบจะกลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับรถยนต์ของฮอนด้าในรุ่นท็อปเกือบทุกรุ่น แต่การที่ฮอนด้าขยายการใช้งานมาครอบคลุมถึงรุ่นเริ่มต้นด้วย ก็ทำให้เราชื่นชม แถมด้วยค่าตัวที่เพิ่มมาแค่ 2.4 หมื่นบาทอีกด้วย
จ่ายเพิ่มเท่านี้ คุณจะได้รถที่มาพร้อมระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ ติดตั้งระบบการเตือนเมื่อรถออกนอกเลน และระบบการควบคุมรถให้อยู่ในเลน แถมมีระบบเตือนการชนด้านหน้าสำหรับรถยนต์และคนเดินถนน ที่มาพร้อมระบบช่วยเบรกอัตโนมัติให้ต่างหาก
และแน่นอนว่า ยังจะต้องมาพร้อมกับระบบควบคุมความเร็วรถแบบแปรผันอัตโนมัติ ที่สามารถปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าได้ ซึ่งระบบที่ให้มานั้นใช้งานได้อย่างสอดประสานลงตัว เพิ่มความปลอดภัยในการใช้รถ โดยเฉพาะในเมืองได้เป็นอย่างดี
มีการตกแต่งเพิ่มหลายจุดทั้งภายนอก-ภายใน
แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่การเพิ่มเติมอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยเข้ามา แต่รถคันนี้มาพร้อมการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มอุปกรณ์หลายชิ้น โดยภายนอกนั้นมีการติดตั้งเพิ่มในส่วนของไฟตัดหมอกหน้าแบบแอลอีดี และปลายท่อไอเสียแบบคู่เฉพาะรุ่นเทอร์โบเท่านั้น
นอกจากนี้ ก็จะมีการติดตั้งตำแหน่งของเซนเซอร์ระบบเซนส์ซิ่งที่ใต้ป้ายทะเบียนที่กันชนด้านหน้า นอกจากนั้นภายนอกก็เหมือนเดิมทั้งหมด ขณะที่ห้องโดยสารภายในก็มีการเพิ่มกระจกมองหลังแบบตัดแสงอัตโนมัติ พร้อมไวร์เลส ชาร์จเจอร์มาให้
กระจกไฟฟ้าถูกเปลี่ยนเป็นแบบกดปุ่มทีเดียวก็เปิด-ปิดทุกบาน พร้อมการเพิ่มม่านบังแดดสำหรับกระจกข้างตอนหลังมาให้เรียบร้อย และยังเพิ่มที่ชาร์จไฟแบบยูเอสบี 2 ตำแหน่งสำหรับผู้โดยสารตอนหลังมาให้ ทำให้รถมีความน่าใช้งานเพิ่มมากขึ้นอีก
ห้องโดยสารหลังนั้นพับเบาะได้จากฝากระโปรงท้าย และยังมีช่องเปิดไปถึงที่เก็บสัมภาระอีกด้วย เบาะที่นั่งฝั่งผู้โดยสารตอนหน้ายังไม่ได้ติดระบบปรับเบาะจากด้านหลังมาให้เหมือนรุ่นท็อป แต่ก็ไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น ของที่มีให้มาก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
ความสะดวกสบายและใหญ่โตภายในยังเป็นจุดขาย พอพอกับระบบความปลอดภัยที่นำมาโดยถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง ระบบความช่วยเหลืออื่น ๆ มีมาให้ครบครันเบรกมือไฟฟ้าพร้อมระบบ Brake Hold มาพร้อม Honda LaneWatch และกล้องมองหลัง
ขับคล้าย ๆ เดิมล่ะ ยังไงไฮบริดก็เนียนกว่า
แม้จะปรับอุปกรณ์อื่น ๆ มาอย่างเต็มที่ แต่หากพูดถึงเรื่องของการควบคุมรถคันนี้เพียงอย่างเดียว แน่นอนว่าเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร เทอร์โบ ที่ถูกนำเครื่องไปโมลงฮอนด้า ซีวิค แต่ในรุ่นนี้ก็ยังให้แรงมากกว่าที่ 190 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 243 นิวตันเมตร
การส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติซีวีที ลงระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ก็ไม่อาจที่จะเทียบเคียงกับเครื่องยนต์ไฮบริด ไอ-เอ็มเอ็มดี ที่ทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตรและมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว เรียกพละกำลังระดับ 215 แรงม้า ออกมาต่อเนื่อง
พร้อมด้วยแรงบิดระดับ 315 นิวตันเมตร พร้อมส่งกำลังผ่านเกียร์อี-ซีวีที แน่นอนว่าการเรียกกำลังและแรงบิดของรุ่นไฮบริดที่เปลี่ยนชื่อเรียกเป็น e:HEV นั้น ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด แม้เครื่องยนต์เทอร์โบจะให้การตอบสนองที่เรียกว่าไม่ได้เลวร้ายแล้วก็เถอะ
เราลองจับ 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงดู พบว่าเวลาที่ทำได้นั่นห่างกันประมาณ 1 วินาที โดยไฮบริดทำได้ดีที่สุดที่ 8.04 วินาที ขณะที่เทอร์โบจะทำได้ที่ 9.09 วินาที เอาจริง ๆ ผมแอบชอบความรู้สึกของการขับเครื่องยนต์เทอร์โบอยู่มากกว่านิด ๆ เสียด้วยนะ
แต่สิ่งที่เทอร์โบไม่อาจจะสู้ได้จริง ๆ ก็คงเป็นเรื่องของอัตราการสิ้นเปลือง วันที่ทดสอบนั้นเราทำความเร็วสูงเกือบตลอดเพราะเวลาจำกัดมาก เทอร์โบนั้นทำได้ที่ 11-12 กิโลเมตรต่อลิตร ขณะที่อี:เอชอีวีที่ขับใกล้เคียงกันทำได้ดีกว่าที่ 15-16 กิโลเมตรต่อลิตร
เลือกเทอร์โบเพราะถือว่าคุ้มค่ามากกว่าทุกรุ่น
การเลือกปรับเอาฮอนด้า เซนส์ซิ่ง มาติดตั้งในรุ่นเทอร์โบนั้น น่าจะเป็นไพ่ตายของฮอนด้า ในการดึงลูกค้ากลุ่มรถยนต์นั่งดี-เซกเมนต์กลับมา เพราะไม่ว่าจะมองเรื่องราคา ความคุ้มค่า อุปกรณ์ที่ให้มา และสมรรถนะของตัวรถเอง ก็ถือว่าไม่เป็นรองใครแล้ว
อย่างที่บอกว่า ก่อนหน้านี้เราอาจจะต้องจ่ายอีกหลายแสนบาทเพื่อเอาระบบนี้ ทำให้ลูกค้าลังเล หรืออาจจะหนีไปที่รถของคู่แข่ง ที่ทำราคาดัก 1.5 ล้านบาทบวกลบเอาไว้ใน 2 รุ่นเริ่มต้น ซึ่งเอาจริง ๆ เทอร์โบมันก็ไม่ได้โดดเด่นออกมาเหนือกว่าใครเขาขนาดนี้
แต่เมื่อให้ของทุกอย่างมาเพิ่ม พร้อมทำราคาล็อกเอาไว้ที่ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท ตลาดรถยนต์สำหรับผู้บริหารที่เน้นความคุ้มค่าต้องสั่นสะเทือน แถมฮอนด้าเองยังอัดแคมเปญใหม่ ๆ เข้ามารองรับความต้องการของลูกค้าชาวไทยกันเต็มที่แบบปิดจุดบอด
ต้องบอกว่า ฮอนด้า แอคคอร์ด เองนั้นก็มีจุดขายในเรื่องของความสะดวกสบาย ห้องโดยสารตอนหลังที่โอ่อ่า สามารถนั่งโดยสารหรือทำงานได้อย่างสะดวก ช่วงล่างก็ออกแบบมาให้นุ่มนวล เก็บเสียงได้เงียบ แต่ยังให้ความมั่นใจเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง
หากมองว่าราคาของเทอร์โบนั้น ห่างจากอี:เอชอีวีตัวเริ่มต้นอยู่ 1.4 แสนบาทและห่างจากรุ่นท็อปอยู่ 3 แสนบาท ก็อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้บริโภคที่อยากได้รถที่อุปกรณ์ความปลอดภัยครบถ้วน เครื่องยนต์ก็จัดว่าดี แถมภาพลักษณ์ก็ไม่เป็นรองใคร
แล้วถ้าจ่ายอีก 3 แสนได้อะไรเพิ่มมาบ้างนะ
ถ้ายอมจ่ายเพิ่มอีก 3 แสนบาท เพื่อครอบครอง Honda Accord e:HEV TECH ก็จะมีของเล่นที่ได้เพิ่มมาอีกเยอะเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นโลโก้ H Mark ตกแต่งกรอบสีฟ้า และสัญลักษณ์ e:HEV ที่ด้านท้าย ล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตขนาด 18 นิ้วดีไซน์พรีเมียม
ติดตั้งสปอยเลอร์หลังมาให้ พร้อมด้วยซันรูฟพร้อมระบบ One-Touch ภายในยังมีปุ่มปรับเบาะไฟฟ้าข้างพนักพิงเบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้า ระบบแสดงข้อมูลบนกระจกหน้า ระบบนำทางเนวิเกเตอร์ รวมถึงปุ่มควบคุม HUD ที่ให้เพิ่มขึ้นมาบนพวงมาลัย
เพิ่มระบบฟอกอากาศในห้องโดยสาร พลาสม่าคลัสเตอร์ เพื่อความสะอาดในการหายใจของคนในรถ มาพร้อมระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย เครื่องยนต์สามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ทั้งเครื่องยนต์อย่างเดียว ไฟฟ้าอย่างเดียว หรือระบบไฮบริด
ในรุ่นท็อปยังมาพร้อมระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง ทำงานผ่านกล้องที่ติดตั้ง 4 จุดรอบคัน ทำงานร่วมกันเซ็นเซอร์กะระยะหลัง 4 จุด ระบบเตือนเมื่อมีรถเคลื่อนผ่านขณะถอย รวมถึงระบบช่วยจอดอัจฉริยะพร้อมระบบช่วยเบรก ทำให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น
เอาจริง ๆ เลยถามว่าจ่ายเพิ่มมันคุ้มค่าไหม ถ้าเกิดเป็นสายเงินถึงและต้องการของเล่นให้ครบครัน ของส่วนใหญ่ที่เพิ่มขึ้นมาก็เป็นจุดที่ไปติดตั้งเพิ่มเองข้างนอกไม่ค่อยได้ เพราะฉะนั้น ถ้าต้องการอะไรให้มันครบ ๆ จะจัดรุ่นใหญ่ให้จบไปเลยก็ไม่ผิดอะไร
แล้วถ้าไปคู่แข่งล่ะจะได้อะไรมาบ้าง
ขอโฟกัสไปที่ 2021 Toyota Camry (โตโยต้า คัมรี่) ที่เป็นคู่เทียบกับรุ่นเทอร์โบ โดยในตลาดนั้น พวกเขามีจำหน่ายอยู่ 2 รุ่นที่ไม่ใช่เครื่องยนต์ไฮบริด ได้แก่รุ่น 2.0G ราคา 1.455 ล้านบาท และรุ่นถัดมาอย่าง 2.5G เจ้าของค่าตัว 1.599 ล้านบาท ให้ลูกค้าเลือก
เอากันที่เครื่องยนต์กันก่อน รุ่นเริ่มต้นอย่าง 2.0จี มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 167 แรงม้าที่ 6,500 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 199 นิวตันเมตรที่ 4,600 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ 6 สปีด รองรับเชื้อเพลิงอี85
รุ่น 2.5จี เป็นเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 209 แรงม้าที่ 6,600 รอบต่อนาที พร้อมด้วยแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตรที่ 5,000 รอบต่อนาที การส่งกำลังเป็นหน้าที่ของเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด เรียกว่าให้สมรรถนะที่ไม่ธรรมดาจากเครื่องสันดาป
ติดตั้งอุปกรณ์คล้ายคลึงกันแต่ก็มีจุดที่ต่างกัน เช่น รุ่นล่างจะมาพร้อม Idling Stop แต่รุ่นบนมาพร้อมแพดเดิลชิฟท์ และมีโหมดการขับขี่ให้เลือกหลากหลาย หน้าจอแสดงผลการขับขี่คนละไซส์ แต่ให้เบรกมือไฟฟ้าและไวร์เลสชาร์จเจอร์มาให้ครบแต่ต้น
ถุงลมนิรภัย 7 ลูกติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานตั้งแต่เริ่มต้น มีกล้องมองภาพถอยหลัง ระบบบเตือนมุมอับสายตา ระบบช่วยเตือนการชนด้านท้าย และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติมาให้ เอาเป็นว่าลองเปรียบเทียบดู ถ้าคิดว่าคุ้มค่ากว่าก็มาทางนี้ได้เลย