หลายคนเคยรู้มาก่อนว่า ใบปัดน้ำฝนหลัง ควรมีเฉพาะรถท้ายตัดเท่านั้น แต่เราคิดว่ารถยนต์ทุกรุ่นควรมีใบปัดน้ำฝนหลัง ไม่ว่าแฮทช์แบคหรือซีดาน คุณคิดว่าจำเป็นไหม? มาดูตัวอย่างพร้อมเหตุผลกันที่นี่
-
ที่มาของปัดน้ำฝนหลัง
หลายคนเคยรู้มาก่อนว่า ใบปัดน้ำฝนหลัง ควรมีเฉพาะรถท้ายตัดเท่านั้น แต่เราคิดว่ารถยนต์ทุกรุ่นควรมีใบปัดน้ำฝนหลัง ไม่ว่าแฮทช์แบคหรือซีดาน คุณคิดว่าจำเป็นไหม? มาดูตัวอย่างพร้อมเหตุผลกันที่นี่
ที่มาของปัดน้ำฝนหลัง
ปัดน้ำฝนหลัง นิยมในรถแฮทช์แบค
สาเหตุมาจากลมท้ายรถ
เราคิดว่ารถทุกรุ่นควรมี
ตัวอย่างรถซีดานญี่ปุ่น
สาเหตุที่ซีดานส่วนใหญ่ไม่มี
ถ้าไม่มีก็ซื้อติดเพิ่มได้
ความเห็นสรุป นี่คือการลดต้นทุน
มหากาพย์ใบปัดน้ำฝนหลังครั้งล่าสุดนี้ เกิดจากการเปิดตัวของรถ ORA Good Cat (โอร่า กู๊ดแคท) แล้วหลายคนรับไม่ได้ที่รถไม่มีปัดน้ำฝนหลัง ซึ่งความจริงแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เคยเกิดขึ้นกับ Honda Brio มาก่อนแล้ว จนกระทั่งต้องใส่มาให้เป็นมาตรฐานในเวลาต่อมา แสดงว่าปัดน้ำฝนหลังมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อรถไม่น้อย และที่มาของอุปกรณ์ชิ้นนี้ มีมานานว่าที่คุณคาดคิด ไปดูที่มา และสาเหตุ ว่าทำไมรถบางคันไม่ใส่มาให้
ที่ปัดน้ำฝนหลังนั้น ถูกคิดค้นมาตั้งแต่รถมีกระจกหลังในยุคสงครามโลก มีมาก่อนอุปกรณ์กระจกมองข้างด้วยซ้ำ ในยุคแรกมีให้อุปกรณ์เสริมเท่านั้น ตัวอย่างที่โด่งดังที่สุดคือ Lancia รุ่นวีดานหรูสุดแห่งยุค 60 ที่มีใบปัดน้ำฝนถึง 4 อันที่ด้านหลัง โดยด้านนอก 2 อันใช้ปัดน้ำฝน ส่วนด้านใน 2 อันเพื่อปัดฝ้าหยดน้ำ ส่วนรถที่มีปัดน้ำฝนยุคนั้น ก็ใช้เป็นเครื่องมืออำนวยความสะดวกแก่รถหรูราคาแพงทั้งสิ้น
อ่านเพิ่มเติม : กระจกเป็นฝ้าเกิดจากอะไร? รวมวิธีแก้ไขและป้องกันง่าย ๆ ไม่บังทางในหน้าฝน
ที่ปัดน้ำฝนหลังถูกใช้ในรถบ้านอย่างจริงจังครั้งแรกในรถ Volvo 145 ในยุค 70 โดยรถรุ่นนี้เป็นตัวถังแวกอน ท้ายตัด กระจกหลังแนวตั้งเกือบตรง กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของรถท้ายตัดที่จะต้องมีปัดน้ำฝนหลังแบบนี้ และยิ่งการแพร่หลายของรถแฮทช์แบคในยุค 80 ที่มีการใส่ปัดน้ำฝนหลังตามอิทธิพลของรถแวกอนดังกล่าว ก็กลายเป็นภาพจำไปว่า ปัดน้ำฝนหลังคือของคู่กับรถ 5 ประตูอย่างแพร่หลายจนปัจจุบัน
อ่านเพิ่มเติม : 2021 Nissan Almera ซ่อนความลับที่หลายคนไม่รู้ เจ้าของรถรุ่นนี้ลองดูว่ากระจกกันเสียงจริงไหม?
เหตุผลที่สนับสนุนการใส่ปัดน้ำฝนหลัง นั่นคือ กระจกหลังที่ตั้งชัน มันไม่มีลมพัดผ่านเอาน้ำฝนออกไป และรูปทรงท้ายตัดมันเกิดลมหมุนวนหลังรถจำนวนมาก ที่พัดเอาฝุ่นโคลนวนกลับเข้ามาหารถ ถ้าเป็นอย่างนี้ หลายคนสงสัยว่า ทำไมไม่ออกแบบรถแฮทช์แบคที่กระจกหลังลาดแบบซีดานล่ะ ?
คำตอบคือ การแก้ปัญหาลมหมุนวน ไม่ได้อยู่ที่ความชันของกระจกอย่างเดียวเท่านั้น ยังมีเรื่องของความยาวของฝาท้ายด้วย ยิ่งฝาท้ายยาวเท่าไหร่ ก็ยิ่งช่วยให้ลมหนีออกห่างกระจกหลังมากเท่านั้น ดูตัวอย่างจากรถ Proton Gen2 ตัวถังท้ายตัด กับรถ Proton Persona ซีดาน ที่มีความลาดเอียงกระจกหลังคล้ายกัน แต่รุ่นท้ายตัดนั้นใส่ปัดน้ำฝนหลังมาให้ เพราะว่าท้ายตัดสั้นมันทำให้ลมหมุนวนอยู่ใกล้กับกระจกหลังอยู่ดี
ในเมื่อรถซีดานที่มีกระจกลาดเอียง ทำให้ลมพัดฝุ่น-โคลนออกไปได้มาก และมีท้ายยาว พาลมหมุนออกห่างกระจกหลังไปได้มาก ทำให้ที่ปัดหลังจำเป็นน้อยกว่ารถแฮทช์แบค แล้วทำไมรถซีดานบางรุ่นยังใส่ปัดน้ำฝนหลัง ?
คำตอบก็ต้องย้อนกลับไปดูประวัติปัดน้ำฝนหลัง ดังที่กล่าวไปในย่อหน้าแรก ว่าเดิมทีเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกมีในรถซีดานมาก่อน เป็นวิธีช่วยให้กระจกหลังใสสะอาดหมดจรดที่สุด ดีกว่ารอให้ลมพัดออกไปเอง เพราะไม่เพียงน้ำฝนเท่านั้น ปัดน้ำฝนหลังสามารถกวาดได้ทั้งหิมะ ฝุ่นโคลน ขี้นก ฯลฯ ออกจากกระจกหลังได้ทุกสภาพอากาศ ทำให้คนขับรถซีดานได้ความสะดวกสบายนั่นเอง
ความนิยมใช้ปัดน้ำฝนในรถซีดาน เริ่มเป็นกระแสมาในยุค 80 ที่ต้องมีใบปัดน้ำฝนให้ทัดเทียมกับรถตัวถังท้ายตัด ความนิยมนี้ยาวนานจนถึงยุค 90 โดยเฉพาะในเมืองหนาวที่มีหิมะ และไม่ได้จำกัดเฉพาะรถหรูเท่านั้น รถราคาประหยัดแทบทุกยี่ห้อในยุคดังกล่าว ล้วนเคยถูกติดตั้งปัดน้ำฝนหลังมาแล้ว ตัวอย่างรถซีดานหรือรถท้ายยื่น ที่มีปัดหลังและเคยมาขายในไทย เช่น Nissan Bluebird SSS, Mitsubishi Galant, Honda Prelude
อ่านเพิ่มเติม : มือสองต้องรู้ Mitsubishi Lancer ฉายาท้ายเบนซ์ เปิดตัวเป็นรถสุดล้ำ ปัจจุบันโดนยำเป็นรถซิ่ง
ในเมื่อปัดน้ำฝนหลังมีประโยชน์ขนาดนี้ แต่ทำไมรถซีดานและรถท้ายยื่นต่าง ๆ ถึงไม่ใส่มาให้ในปัจจุบัน คำตอบง่าย ๆ คือมันต้านลม และความสวย ถ้าจะอธิบายอย่างยาวก็คือ ปัดน้ำฝนหลังมันขวางทางการไหลของลม เพราะใบปัดวางตัวเป็นแนวนอนตามขวาง
ส่วนเรื่องความสวยงามนั้น เป็นเรื่องที่ค่ายรถยุโรปอย่าง Skoda เคยยอมรับมาแล้วว่ามีผลเรื่องความสวยงามจริง ๆ เพราะแนวทางการออกแบบรถในปัจจุบันนั้น ซ่อนปัดน้ำฝนหน้า ฝังมือจับลงในตัวถัง ตัดกระจกข้างแทนที่ด้วยกล้อง ฯลฯ ทำให้รถมีพื้นผิวเรียบมากที่สุด ซึ่งไม่เพียงรถซีดานเท่านั้น แต่แฮทช์แบคสมัยใหม่บางรุ่นก็ไม่มีปัดน้ำฝนหลังเช่นกัน อย่างเช่น ORA Good Cat เพราะต้องการเน้นดีไซน์สวยงามสะอาดตานั่นเอง
รถยนต์หลายรุ่นในไทยที่ไม่มีปัดน้ำฝนหลัง สามารถติดเพิ่มได้ เพราะบางรุ่นในสเปคเมืองนอกอาจมีใบปัดติดตั้งมาให้จากโรงงาน ควรศึกษาหาข้อมูลให้แน่ชัดว่ามีจริง จากนั้นก็ตามหาอะไหล่จากเชียงกงนำเข้ามาเอง ซึ่งมีทั้งตัวกระจกใหม่ ก้านปัด มอเตอร์ กระปุกฉีดน้ำ สวิตช์เปิดปิดที่คอพวงมาลัย รวมค่าติดตั้งแล้วน่าจะอยู่ในหลัก 1-2 หมื่นบาท
แต่ถ้ารถรุ่นใดไม่มีมาให้จากเมืองนอก ก็สามารถหาซื้อดัดแปลงใส่ได้ โดยต้องยอมเจาะตัวถังร้อยน็อตยึดชุดก้านปัดและมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งค่าใช้จ่ายก็หลักหมื่นไม่แพ้กัน
อ่านเพิ่มเติม : 5 วิธีดูแลที่ปัดน้ำฝนง่าย ๆ ไม่ต้องจ่ายเงินเปลี่ยนยางบ่อย เตรียมรับหน้าฝน
การไม่มีปัดน้ำฝนหลัง ช่วยลดต้นทุนบริษัทรถในการผลิตชิ้นส่วนมากขึ้น ลดขั้นตอนการประกอบติดตั้ง ส่วนผู้ซื้อได้ลดภาระการบำรุงรักษาลงไป จากการไม่ต้องเปลี่ยนยางรีดน้ำ ไม่ต้องเติมน้ำฉีดกระจก ฯลฯ รวมถึงความจำเป็นของชิ้นส่วนนี้ ไม่ได้มีมากนักสำหรับรถซีดาน เป็นแค่ความสะดวกสบายเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
มิหนำซ้ำ วัฒนธรรมการแต่งรถหลายคัน ยังได้ตัดที่ปัดน้ำฝนออกไปด้วย แสดงให้เห็นความนิยมปัดน้ำฝนหลังที่ลดลง ทำให้รถท้ายยื่นทั้งซีดานและคูเป้ ได้ตัดออพชั่นนี้ออกไปเกือบหมดแล้วในปัจจุบัน
อ่านเพิ่มเติม : แผ่นปิดหลังคากระจกใน 2022 Honda HR-V ไม่ได้เพิ่งมี Toyota ทำมาตั้งแต่ยุค 90 แล้ว