การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่สักรุ่นอาจจะไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร แต่กับรถยนต์รุ่นที่เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของแบรนด์มาอย่างยาวนาน เป็นรถยนต์ระดับไอคอนที่ไม่ได้ทำการปรับโฉมบ่อยนั้น เป็นโจทย์ที่ยากเสมอ ในการพัฒนารถให้ดีขึ้นกว่าเดิมเรื่อย ๆ
ไม่ใช่แค่ในเชิงของสมรรถนะของรถที่ต้องปรับให้ดีขึ้นอยู่แล้ว แต่การรักษาภาพลักษณ์อันโดดเด่น เพื่อให้กลุ่มลูกค้าเดิม ๆ ยังเดินหน้าจับจ่ายต่อไปแบบไม่ขัดเขิน รวมถึงการสร้างกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ให้มาเป็นลูกค้าอีกครั้ง เป็นสิ่งที่ค่ายรถย่อมคำนึงถึง
Mercedes-Benz SL-Class คือหนึ่งในรถยนต์ที่อยู่ในกลุ่มดังกล่าว และถือเป็นหนึ่งในดาวค้างฟ้าของค่าย ที่มีอายุยืนยาวมานานเกิน 10 ปี ในรุ่นก่อนหน้า และเป็นไอคอนของแบรนด์ที่ยืนมองการเปลี่ยนผ่านของแบรนด์อย่างรุนแรงในรอบทศวรรษที่ผ่านมา
และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม 2022 Mercedes-AMG SL-Class ก็ได้รับการรังสรรค์ขึ้นมาใหม่ ภายใต้แบรนด์เอเอ็มจี เพื่อจัดที่จัดทางให้กับรถคันนี้ในการเป็นรถยนต์สมรรถนะสูง ที่ได้รับการพัฒนาใหม่หมด และสร้างเซอร์ไพร์สด้วยที่นั่งแบบ 2+2 เก้าอี้
SL หรือ Sport Leicht รถสปอร์ตน้ำหนักเบาที่มาพร้อมรหัส R232 มีจุดเด่นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นหลังคาผ้าใบแบบอ่อน เครื่องยนต์สมรรถนะสูงหลากทางเลือก ระบบความปลอดภัยที่ติดตั้งเข้ามา ซึ่งจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเอสแอลยุคใหม่นั่นเอง!!!
มิติตัวถัง 2022 Mercedes-Benz SL-Class |
|
SL55 |
SL63 |
กว้าง (มม.) |
1,915 |
ยาว (มม.) |
4,705 |
สูง (มม.) |
1,359 |
1,353 |
ฐานล้อ (มม.) |
2,700 |
ความกว้างล้อหน้า (มม.) |
1,665 |
1,660 |
ความกว้างล้อหลัง (มม.) |
1,629 |
1,625 |
น้ำหนัก (กก.) |
1,950 |
1,970 |
ถังน้ำมัน (ลิตร) |
70 |
ภายนอกออกแบบโฉบเฉี่ยวดุดัน
การออกแบบห้องโดยสารภายนอกมาพร้อมรูปลักษณ์ที่เฉียบคม ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรถแข่งและการออกแบบสายพันธุ์สปอร์ตของค่าย กระจังหน้าขนาดใหญ่ พร้อมซี่โครเมียมแนวตั้ง ติดตั้งโลโก้ดวงดาวขนาดใหญ่เป้ง ลงตัวกับชุดโคมไฟหน้า
ตัวรถด้านหน้าออกแบบให้ลู่ลมเป็นพิเศษ พร้อมช่องดังลมขนาดใหญ่ที่ติดตั้งที่มุมกันชนหน้า ด้านข้างจะเห็นล้ออัลลอยสีดำขนาดใหญ่ที่ดูลงตัว ซ่อนอยู่ในซุ้มล้อ กระจกบังลมหน้าลู่เอนเป็นพิเศษ เชื่อมต่อกับหลังคาผ้าใบที่ช่วยลดน้ำหนัก 21 กิโลกรัม
ด้านท้ายโดดเด่นด้วยชุดไฟท้ายแบบเพรียวยาวไปตามมุมท้ายของตัวรถ พื้นที่เก็บสัมภาระในกระโปรงหลังเพิ่มขึ้นจากตอนที่ใช้หลังคาแข็ง ท่อไอเสียแบบคู่ 2 ฝั่งของตัวรถ ออกแบบเป็นชิ้นเดียวกับแผงดิฟฟิวเซอร์ ดูลงตัวและสวยงามแบบก้าวร้าวดุดัน
ภายในผสมผสานโลกอนาล็อกและดิจิตอล
การออกแบบห้องโดยสารภายในได้รับแรงบันดาลใจมาจากรถรุ่นเก่า ๆ ที่ได้รับความนิยม โดยมีกลิ่นอายของ 300SL ที่ชัดเจน และเป็นอีกครั้งที่เอสแอลมาพร้อมกับห้องโดยสารแบบ 2+2 ที่นั่ง หลังจากเลิกใช้งานไปตั้งแต่รุ่นปี 2000 หรือกว่า 20 ปีมาแล้ว
การผสมผสานความเป็นรถยนต์แบบอนาล็อกเข้ากับดิจิตอล ภายใต้แนวคิดการออกแบบที่เรียกว่า Hyperanalogue ด้วยการเลือกใช้วัสดุที่ให้ผิวสัมผัสดีเยี่ยม ผสานกับเทคโนโลยีดิจิตอลหลายรูปแบบ ที่แสดงออกมาผ่านจอภาพขนาดใหญ่จำนวน 2 จอ
ระบบอินโฟเทนเมนต์ที่มาพร้อม MBUX เจนเนอเรชั่นที่ 2 แสดงผลผ่านหน้าจอกลางขนาด 11.9 นิ้ว ที่สามารถปรับองศาการแสดงผลได้ พร้อมเลือกโหมดการแสดงผลได้ 5 โหมด ส่วนข้อมูลการขับขี่ยังใช้หน้าจอ 12.3 นิ้วด้านหลังพวงมาลัยเหมือนเดิม
เครื่องยนต์ 2 ทางเลือกสุดเร้าใจ
ในรุ่น SL 55 มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 8 สูบ 4.0 ลิตร พ่วงเทอร์โบชาร์จเจอร์คู่ ให้กำลังสูงสุด 476 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่งจาก 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลา 3.9 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 295 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ส่วนในรุ่น SL 63 ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 8 สูบ 4.0 ลิตร พ่วงเทอร์โบชาร์จเจอร์คู่ ให้กำลังสูงสุด 585 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 800 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่งจาก 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลา 3.6 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 315 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
จะเห็นได้ว่าแม้จะเป็นเครื่องเดียวกัน แต่พวกเขาสร้างความแตกต่างด้วยการปรับแต่งกล่องอีซียู โดยทั้ง 2 รุ่นจะมาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะจากเอเอ็มจี พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ซึ่งเป็นครั้งแรกของรุ่นนี้ ที่มาพร้อมระบบ 4MATIC+ เลยทีเดียว
เทคโนโลยีและอุปกรณ์อื่น ๆ ที่เหนือชั้น
ด้วยการเป็นแบรนด์ไอคอนระดับสูงสุดของค่าย เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้ทำการเลือกใช้วัสดุและอุปกรณ์ที่ดีที่สุดที่เราพบเห็นได้จากรถรุ่นอื่น ๆ มาใส่ไว้อย่างเต็มพิกัด ไม่ว่าจะเป็นมือจับประตูแบบซ่อนตัวเองได้ กระหลังด้านหลังแบบลดความร้อน เป็นต้น
หลังคาผ้าใบที่น้ำหนักลดลง ส่งผลให้สามารถเปิดและปิดได้ด้วยความเร็ว 15 วินาที และทำได้ที่ความเร็วสูงสุด 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง การออกแบบรถนั้นเน้นให้รถที่มีแชสซีน้ำหนักเบา 270 กิโลกรัมคันนี้ มีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้แล้ว
ตัวถังแบบอลูมิเนียม สเปซเฟรม ถูกออกแบบมาใหม่หมดจด ไม่ได้หยิบยืมมาจากรุ่นอื่น ๆ แต่อย่างใด และเลือกใช้ชิ้นส่วนน้ำหนักเบาอย่างคาร์บอนไฟเบอร์หรือแมกนีเซียม อลูมิเนียม รวมถึงเหล็กในจุดที่สำคัญ เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอีก 18%