ทำไมการเรียกคืนรถยนต์ (Recall) ในไทยถึงเป็นเรื่องรุนแรง ทั้งที่จริง ๆ ก็เพื่อความปลอดภัยทั้งนั้น

การเรียกคืนรถยนต์เพื่อนำมาปรับปรุงคุณภาพหรือ Recall นั้น ถือเป็นหนึ่งในมาตรการด้านความปลอดภัยทั่วโลก ที่ผู้ผลิตรถยนต์อาจจะเรียกรถยนต์ที่มีปัญหาเข้ามาที่ศูนย์บริการ เพื่อทำการปรับปรุง แก้ไข หรือแม้แต่การเปลี่ยนชิ้นส่วนที่มีปัญหา เพื่อป้องกันอุบัติเหตุหรือปัญหาจากการใช้งาน

หลาย ๆ ครั้งเราจะเห็นการประกาศเรียกคืนรถยนต์จำนวนมากในตลาดต่างประเทศกันเป็นเรื่องปกติ เพื่อแก้ไขปัญหาตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ เช่น อุปกรณ์บางอย่างทำงานไม่เต็มที่ น๊อตไม่แน่น ไปจนถึงเรื่องราวใหญ่โตอย่างถุงลมนิรภัยไม่ทำงาน หรือเครื่องยนต์อาจจะก่อปัญหาใหญ่โตอย่างไฟไหม้ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทยของเราเองกลับไม่ค่อยยอมรับการเรียกคืนรถไปปรับปรุงมาตรฐานเท่าไรนัก ซึ่งก็มีอยู่บ่อยครั้งที่ค่ายรถเองก็หลีกเลี่ยงที่จะใช้คำว่าเรียกคืนรถ แต่หันไปใช้คำอื่น ๆ อย่างที่ผู้เขียนเคยเจอก็การใช้คำว่า ข่าวประชาสัมพันธ์ แล้วแอบทำตอนเอารถเข้าศูนย์บริการก็มีเหมือนกัน

ทำให้ต้องกลับมาคิดเหมือนกันว่า ทำไมมาตการที่เป็นเรื่องราวของความปลอดภัยในการใช้งานรถยนต์ของเราแท้ ๆ กลับไม่ค่อยได้รับการยอมรับเท่าที่ควรในตลาด และทำให้เจ้าของรถเอง ก็อาจจะพลาดที่จะได้รับการให้บริการที่ดี เพื่อให้เราได้ใช้รถได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเสียด้วยซ้ำ

โดยส่วนตัว ผมค่อนข้างใช้รถแบรนด์แปลก ๆ ที่ไม่ใช้แบรนด์ตลาดมาโดยตลอด และก็มักจะเป็นรถที่มีปัญหาซ่อมแซมแบบนี้หลายครั้ง บางค่ายก็ออกจดหมายเชิญเอารถเข้าใช้บริการ บางค่ายใช้คอลล์เซนเตอร์ติดต่อมา แต่ที่ไม่ค่อยชอบก็คงจะเป็นค่ายที่รอแอบทำเงียบ ๆ ตอนเอารถเข้าศูนย์

อาจจะถึงเวลาที่เราต้องทำความเข้าใจกับระบบการเรียกคืนรถยนต์กันแล้วล่ะ...

รีคอลล์ไม่ได้หมายถึงรถมีปัญหา-ไม่น่าใช้งาน

หลายต่อหลายครั้ง ผู้ใช้รถจะมีความรู้สึกว่าการเรียกคืนรถยนต์นั้นหมายถึงคุณภาพของรถที่ผลิตออกมาไม่เต็ม 100% ทำให้ต้องมีการแก้ไขปรับปรุง พาลจะคิดไปกับว่ารถนั้นมีปัญหา ไม่น่าใช้งาน เอาเข้าไปซ่อมแล้วก็คงไม่กลับมาสมบูรณ์เหมือนเดิม ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ ปัญหาที่เกิดขึ้นอาจจะยังไม่เกิด เป็นแค่การเฝ้าระวัง หรืออาจจะเกิดแต่ไม่รุนแรงก็เป็นไปได้ เพียงแค่ปรับหรือเปลี่ยนอุปกรณ์ ก็จะทำให้เราสามารถใช้งานรถคันนั้นได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเหมือนเดิมแล้ว

รีคอลล์ไม่จำเป็นต้องเปล่าประกาศ แต่ต้องจริงใจนะ

เราอาจจะเคยชินกับการประกาศเรียกคืนรถยนต์ในต่างประเทศที่ทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ไม่ว่าจะเรียกคืนหลักสิบหรือหลักแสน พวกเขาก็พร้อมออกประกาศอย่างเป็นทางการ ขณะที่ในประเทศไทย หลาย ๆ ครั้งก็รีคอลล์กันแบบเงียบ ๆ แอบทำกันเองแบบถ้าไม่ตรวจสอบรายละเอียดการซ่อมก็ไม่เห็น เรื่องนี้ขึ้นกับกฎหมายและหน่วยงานที่ควบคุมว่ามีความแข็งแรงเพียงใด ในประเทศไทย กฎหมายเรื่องนี้ยังไม่มีความชัดเจน เพราะฉะนั้น ต่อให้ไม่ประกาศ ก็อยากให้ค่ายรถจริงใจกับเรื่องนี้ด้วย

ทำไมค่ายรถถึงรู้ว่ารถจะมีปัญหาจนต้องรีคอลล์

โดยหลักการปกติแล้ว การรีคอลล์จะเกิดขึ้นใน 2 กรณี เรื่องแรกก็คือ การที่ผู้บริโภคนำรถไปใช้แล้วเกิดปัญหาขึ้นมาจริง ๆ เมื่อทำการตรวจสอบก็จะมีการเรียกคึนมาแก้ไขอย่างเป็นทางการี แต่อีกกรณีก็คือ ค่ายรถเองเป็นผู้ตรวจสอบคุณภาพของสินค้าที่ตัวเองผลิตขึ้นมา และพบว่ามีปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อการใช้งาน ก็ตัดสินใจตัดไฟแต่ต้นลม เรียกรถทุกคันมาแก้ไขให้เรียบร้อยก่อนเกิดปัญหาใหญ่ตามมา ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการพบเจอแบบไหน การเร่งแก้ปัญหาก็ดีทั้งนั้น

ทำอย่างไรดีถ้ารถของคุณอยู่ในกลุ่มถูกเรียกคืน

ปกติแล้วอย่างที่บอกว่าค่ายรถในประเทศไทยเลือกใช้วิธีที่หลากหลายในการประกาศเรียกคืน ส่งจดหมายหาลูกค้าหรือผ่านคอลล์เซนเตอร์ก็มี หรือในกรณีที่ไม่เร่งด่วน บางทีค่ายรถก็จะทำให้ตอนที่เราเอารถเข้าเช็คระยะที่ศูนย์ แต่หากมีการติดต่อมา แนะนำให้เช็ครายละเอียด พวกเลขตัวถังหรือลอตการผลิตต่าง ๆ ให้แน่ใจอีกรอบว่าอยู่ในเครือข่ายการเรียกคืน จากนั้นก็ทำการติดต่อศูนย์บริการที่ใช้บริการประจำ เพื่อนัดหมายนำรถเข้าไปจัดการให้เรียบร้อยตามที่ตกลงกัน

อนาคตอาจจะไม่ต้องเข้าไปที่ศูนย์บริการอีกแล้ว

อย่างที่เรารับรู้กันดีว่า รถยนต์ในยุคนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปมากมาน มีการติดตั้งระบบต่าง ๆ เข้าไปมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือการอัพเดตผ่านระบบ OTA ที่ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนแก้ไขระบบที่มีปัญหาได้ผ่านเครือข่ายออนไลน์ ในปัจจุบันก็เริ่มมีหลายค่ายที่แก้ปัญหาการเรียกคืนรถยนต์ผ่านระบบดังกล่าวแล้ว แต่ก็ยังทำได้แค่ที่เกี่ยวข้องกับระบบที่ออนไลน์เท่านั้น ยังไม่สามารถรองรับการให้บริการด้านระบบเครื่องกลต่าง ๆ หรืออุปกรณ์ที่ต้องแก้ไข ซึ่งไม่แน่ใจว่าอนาคตนั้นจะทำได้ดีกว่านี้หรือไม่

อ่านเพิ่มเติม: Mercedes-Benz รีคอลล์รถหรูอย่าง EQS และ S-Class เพราะปล่อยผู้ใช้งานดูทีวีได้ขณะขับรถ