คาร์ลอส กอส์น อดีตประธานใหญ่ Nissan (นิสสัน) ออกมาให้สัมภาษณ์เอ็กซ์คลูซีฟกับสำนักข่าว BBC ตั้งแต่ตอนถูกจับคาสนามบินญี่ปุ่นไปจนถึงช่วงเวลาอันยาวนานที่เขาต้องขดตัวอยู่ในกล่องเก็บเครื่องดนตรีก่อนหลบหนีได้สำเร็จ
กอส์น ถูกจับกุมที่สนามบินฮาเนดะในเดือนพฤศจิกายน 2018 ด้วยข้อหากระทำผิดกฎหมายการเงินหลายข้อ ไม่ว่าจะเป็นการรายงานผลตอบแทนต่ำกว่าความเป็นจริงและการใช้เงินของบริษัทฯ โดยมิชอบ พร้อมกับมีข่าวว่ากอส์นถูกทีมผู้บริหารของ Nissan รวมหัวกัน "ทำรัฐประหาร" (Boardroom coup) โค่นล้ม
การถูกจับกุมของกอส์นกลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก เพราะเวลานั้นเขาคือ “ยักษ์ปักหลั่น" แห่งวงการยานยนต์ผู้กุมบังเหียนธุรกิจของกลุ่มพันธมิตร Renault-Nissan-Mitsubishi Alliance
มาตรการ “หั่นต้นทุนเหี้ยน” ของกอส์นถูกยกย่องว่าสามารถช่วยให้ Nissan รอดพ้นจากภาวะล้มละลายเมื่อหลายปีที่แล้ว ก่อนกลับมาฟื้นตัวและเติบโตได้สำเร็จ แต่ก็ถูกมองว่าวิธีบริหารงานของเขานั้นเด็ดขาดเกินไปจนได้รับฉายาว่า Cost Killer หรือนักฆ่าต้นทุน
ล่าสุด อดีตผู้บริหารเชื้อสายฝรั่งเศส-บราซิล-เลบานอน วัย 67 ปีผู้นี้เปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับคดีและการหลบหนีสนั่นวงการยานยนต์และธุรกิจโลกเมื่อปลายปี 2019
“ตัวผมแข็งทื่อตอนถูกจับที่สนามบิน”
กอส์นกล่าวยอมรับว่าเขารู้สึกเหมือนถูกรถบัสหรืออะไรสักอย่างพุ่งชนอย่างจังเมื่อรู้ตัวว่าถูกจับกุมที่สนามบินฮาเนดะ ชานกรุงโตเกียวเมื่อ 3 ปีที่แล้ว
“ความทรงจำเดียวที่ผมระลึกถึงได้ก็คือความรู้สึกช็อก ตัวผมแข็งทื่อจนแทบขยับไม่ได้” กอส์น เผย พร้อมกับเล่าว่าเขาถูกนำตัวไปคุมขังที่สถานกักกันในกรุงโตเกียว โดยต้องเปลี่ยนไปใส่ชุดนักโทษและอยู่ในห้องขังเล็ก ๆ ที่ไม่มีหน้าต่าง
“รู้ตัวอีกทีผมก็ไม่มีนาฬิกา ไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ผมไม่สามารถอ่านข่าวได้ ผมไม่มีแม้แต่ปากกา ไม่มีอะไรเลย” กอส์น กล่าว
นานหลายเดือนที่เขาถูกคุมขังอยู่ในสถานกักกันดังกล่าว ก่อนได้รับการประกันตัวและต้องอยู่ในบ้านพักที่ถูกจับตามอง 24 ชั่วโมง ไม่มีความชัดเจนว่าการต่อสู้คดีในชั้นศาลจะเริ่มต้นเมื่อไหร่ เขารู้เพียงว่าหากถูกตัดสินว่ามีความผิด เขาอาจต้องโทษจำคุกนานถึง 15 ปี และอัตราการตัดสินว่าจำเลยที่ถูกฟ้องร้องมีความผิดในญี่ปุ่นนั้นสูงถึง 99.4%
ระหว่างการถูกคุมตัวอยู่ในบ้านพักในกรุงโตเกียวแบบไม่รู้อนาคตที่แน่ชัด กอส์นพบว่าเขาถูกเจ้าหน้าที่อัยการกีดกันไม่ให้ติดต่อแคโรล ภรรยาของเขา นั่นเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้เขาตัดสินใจหลบหนี
วางแผนการหลบหนีอย่างรอบคอบ
“สิ่งสำคัญที่สุดคือผมต้องหลบซ่อนจากสายตาผู้คนในกล่องอะไรสักอย่าง” กอส์น กล่าว “เราตัดสินใจว่าผมควรจะซ่อนตัวอยู่ในกล่องหรือในกระเป๋าเพื่อไม่ให้คนอื่นเห็นผมหรือจำผมได้ แผนการนี้น่าจะได้ผลมากที่สุด”
กอส์น เปิดเผยว่ากล่องเก็บเครื่องดนตรีถูกนำมาใช้ในการหลบหนีเพราะสมเหตุสมผลที่สุดเนื่องจากในเวลานั้นมีการจัดคอนเสิร์ตหลายครั้งในญี่ปุ่น
แต่คำถามคือคนต่างชาติที่กลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วแดนอาทิตย์อุทัยอย่างเขานั้นจะออกจากบ้านพักไปถึงสนามบิน และเทคออฟออกไปนอกประเทศได้อย่างไร
แผนการก็คือ อดีตหัวเรือใหญ่ Nissan จะต้องสวมเสื้อผ้าสบาย ๆ ไม่ใส่สูทหรือเสื้อเชิ้ตเหมือนเคย เขาต้องทำตัวเหมือนเป็นปกติในวันที่หลบหนี กอส์นเปิดเผยว่า เขาต้องทำสีหน้าให้เป็นปกติ และทำทุกอย่างให้เหมือนเดิมในวันที่ภารกิจชี้เป็นชี้ตายชีวิตเขาเริ่มต้นขึ้น
ช่วงเวลาที่นานที่สุดในชีวิต
กอส์น เดินทางออกจากบ้านพัก นั่งรถไฟหัวกระสุนจากกรุงโตเกียวไปยังนครโอซาก้า ซึ่งมี “กล่องเก็บเครื่องดนตรี” รอเขาอยู่แล้วในโรงแรมแห่งหนึ่งใกล้สนามบิน เขาต้องซ่อนตัวในกล่องดังกล่าวเพื่อไปขึ้นเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวออกนอกประเทศ
“เมื่อผมเข้าไปซ่อนตัวในกล่องเก็บเครื่องดนตรี หัวสมองของผมไม่คิดเรื่องอดีต ไม่ได้คิดเรื่องอนาคต ผมคิดแต่ช่วงเวลา ณ ขณะนั้นเพียงอย่างเดียว” กอส์น เผย
“ผมไม่มีความหวาดกลัวใด ๆ ผมแทบไม่มีความรู้สึกอะไรเลยนอกเหนือจากความคิดที่ว่าชีวิตผมแขวนอยู่บนเส้นด้าย หากผมทำพลาดหรือถ้าเกิดความผิดพลาด ผมจะต้องถูกคุมขังไปตลอดชีวิตในประเทศญี่ปุ่น”
กล่องเก็บเครื่องดนตรีที่มีกอส์นซ่อนตัวอยู่นั้นถูกขนส่งจากโรงแรมไปยังสนามบินโดยไมเคิล และปีเตอร์ เทย์เลอร์ สองพ่อลูกชาวอเมริกันซึ่งเป็นอดีตทหารนาวิกโยธิน ภายหลังทั้งคู่ถูกจับกุมในสหรัฐอเมริกา ก่อนถูกส่งตัวในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนไปยังญี่ปุ่นและอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีอยู่ในเวลานี้ โดยทั้งคู่อาจถูกตัดสินจำคุก 3 ปีในข้อหาช่วยเหลือผู้ต้องหาหลบหนี
กอส์น เผยว่าเขาต้องขดตัวอยู่ในกล่องเก็บเครื่องดนตรีนานถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งเขารู้สึกเหมือนกับนาน 1 ปีครึ่งเลยทีเดียว
เมื่อไปถึงสนามบินเวลา 22.30 น. สภาพอากาศของนครโอซาก้าในช่วงปลายเดือนธันวาคมหนาวยะเยือก กอส์นต้องรอเวลานับถอยหลังจนถึง 23.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่เครื่องบินจะเทคออฟ
“ช่วงเวลา 30 นาทีที่ผมรอคอยอยู่ในกล่องนั้นให้ความรู้สึกเหมือนเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุดในชีวิตเลยทีเดียว” กอส์นเผย “จนกระทั่งเครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ความระทึกทั้งหมดทั้งปวงสิ้นสุดลงแล้ว ผมจะได้มีโอกาสบอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้ทุกคนได้ฟัง”
เครื่องบินส่วนตัวพากอส์นโบยบินออกนอกแดนปลาดิบพร้อมกับอิสรภาพ ก่อนจะแลนดิ้งลงจอดยังประเทศเลบานอนที่เขาพำนักอาศัยมาจนถึงปัจจุบัน
รอวันที่จะล้างมลทินชื่อเสียงของตนเอง
นอกจากกอส์นที่ถูกจับในญี่ปุ่น ยังมีเกรก เคลลี่ อดีตผู้บริหารระดับสูงของ Nissan ที่ถูกจับด้วยและปัจจุบันอยู่ระหว่างการถูกคุมตัวในบ้านพักใจกลางกรุงโตเกียวด้วยข้อหาให้การช่วยเหลือกอส์นปิดบังรายได้ที่แท้จริง ซึ่งเคลลี่ปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด
“ผมได้ยินมาว่าการพิจารณาคดีของเคลลี่จะสิ้นสุดลงในช่วงปลายปีนี้ แต่ใครจะรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป กระบวนการยุติธรรมในญี่ปุ่นเป็นเหมือนการลักพาตัวจำเลย ผมรู้สึกเสียใจกับทุกคนที่เป็นเหยื่อในประเทศนั้น” กอส์น กล่าว
กอส์นยืนยันว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ เขาเป็นผู้ถูกตราบาปไม่ใช่ผู้สร้างบาป ปัจจุบันเขายังว่าจ้างทีมทนายความฝีมือดีเพื่อลบล้างมลทินและชื่อเสียงด้านลบทั้งหมด
จากอดีตประธานบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ระดับโลกกลายเป็นผู้หลบหนีคดีระหว่างประเทศ เรื่องราวที่พลิกผันจากหน้าเป็นหลังมือจนถึงบทสรุปที่ไม่มีใครคาดคิดแม้แต่ตัวเขาเอง สามารถนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวูดได้โดยแทบไม่ต้องดัดแปลงเลยก็ว่าได้