Koenigsegg Gemera Mega-GT (เคอนิกเส็กก์ เจเมร่า เมก้า-จีที) ไฮเปอร์คาร์พลังงานไฮบริดรุ่นใหม่ล่าสุดที่เปิดตัวในประเทศไทยเมื่อวานนี้ เรียกเสียงฮือฮาอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์สุดเฉียบ หรือเครื่องยนต์อันโดดเด่น ที่เตะตาทุกคนด้วยบานประตูแบบเปิดแนวตั้ง และเบาะที่นั่ง 4 ตำแหน่ง ที่นั่งได้จริงในทุกตำแหน่งการนั่ง
และด้วยการเป็นรถยนต์กึ่งไฮบริด ที่ทำให้พวกเขานั้นสามารถทำราคาจำหน่ายรถยนต์สมรรถนะสูงได้ในระดับที่อภิมหาเศรษฐีจากประเทศไทยยังพอเอื้อมถึงกันได้ ทำให้มีการคาดการณ์ว่าโควต้าที่ได้มา 4 คันจาก 300 คันทั่วโลก และมีคนจับจองไปแล้ว 1 คัน ไม่น่าจะมีปัญหาที่จะหาลูกค้าได้ก่อนที่จะเริ่มผลิตและส่งมอบในอนาคต
เจเนอร์รัล ออโต้ ซัพพลาย ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย บอกว่าการทำราคาจำหน่ายรถคันนี้นั้นน่าสนใจมาก เพราะหากเทียบกับในต่างประเทศแล้วถือว่าไม่แพงเลย เมื่อเทียบกับสมรรถนะที่แลกมา และที่สำคัญกว่านั้น มีสถานบ้นการงานที่ใจกล้า สามารถปล่อยเงินกู้ให้กับลูกค้าที่ต้องการเปฺ็นเจ้าของรถคันนี้แล้วเช่นกัน
ทำไมเจเมร่าทำราคาได้ถูกกว่าที่คาด
มองไปที่รถที่เปิดตัวในวันเดียวกันอย่าง Koenigsegg Jesko Absolut (เคอนิกเส็กก์ เจ็ทโก แอบโซลุท) หนึ่งในไฮเปอร์คาร์ที่เร็วแและแรงที่สุดในโลกในปัจจุบัน มีการผลิตจำนวนจำกัดแค่ 125 คัน และขายหมดไปแล้วก่อนการเปิดตัวในประเทศไทย มีราคาจำหน่ายในตลาดโลกอยู่ที่ราว 3 ล้านยูโร และแน่นอนว่ามีคนถามถึงเช่นกัน
แต่การทำตลาดนั้นก็ไม่ได้ง่าย เพราะหากต้องการเป็นเจ้าของรถคันนี้ ผู้เป็นเจ้าของจะต้องควักกระเป๋าจ่ายเงินค่าตัวรถ ค่าภาษี รวมถึงค่าใช้จ่ายต่าง ๆ คิดเป็นเม็ดเงินไม่น้อยกว่า 350 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้จะเป็นภาระภาษีที่จะถูกจัดเก็บเข้าท้องพระคลังราว ๆ 250 ล้านบาท ตามมาตรการภาษีนำเข้ารถยนต์ที่กำหนดเอาไว้ในประเทศไทย
หันกลับมาดูที่เจเมร่า ที่มีราคาจำหน่ายในตลาดโลกอยู่ที่ราว 1.5 ล้านยูโร เมื่อทำการชำระภาษีต่าง ๆ ในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย ตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยสามารถเคาะราคาจำหน่ายเป็นยูโรได้ที่ 2.998 ล้านยูโรเท่านั้น หากคิดค่าเงินในปัจจุบันบวกลบคูณหารกันแล้ว ค่าตัวของรถคันนี้คิดเป็นเงินบาทจะตกที่ 110 ล้านบาทเท่านั้น
ถามว่าทำไมถึงราคาไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเจ็ทโก ทั้งที่ราคาในตลาดโลกแตกต่างกันประมาณครึ่งเดียวเท่านั้น ก็เพราะว่าเจเมร่าได้อัตราภาษีพิเศษสำหรับรถยนต์ไฮบริด ที่ใช้เครื่องยนต์ปริมาตรกระบอกสูบไม่เกิน 3.0 ลิตร ทำให้เสียภาษีสรรพสามิตเพียง 8% เท่านั้น เทียบกับรถยนต์ไฮเปอร์คาร์ธรรมดาที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตรถึง 40%
จุดนี้เองที่ทำให้ผู้บริหารของค่ายมองว่าเป็นโอกาสอันดีที่ลูกค้าชาวไทยจะได้สัมผัสกับไฮเปอร์คาร์รุ่นพิเศษ ที่มาพร้อมสมรรถนะที่เหนือชั้น ความสะดวกสบายในห้องโดยสาร อุปกรณ์ตกแต่งที่หรูเนี๊ยบกว่าใครที่ไหนก็ตาม ในราคาที่เรียกว่าไม่สูงเกินไป อภิมหาเศรษฐีที่ชื่นชอบรถเหล่านี้สามารถจ่ายได้สบาย และไม่ได้จ่ายพร้อมกันทีเดียวเสียด้วย
ถ้าจะซื้อรถคันนี้ ต้องจ่ายเงินกี่ครั้ง ครั้งละกี่บาท
เมื่อเป็นรถยนต์ราคาสูง ที่ยังไม่ได้ทำการผลิตเพื่อส่งมอบ เจเมร่านั้นยังอยู่ระหว่างการเปิดรับออเดอร์จากลูกค้าทั่วโลก พร้อม ๆ ไปกับการสร้างโรงงานแห่งใหม่เพื่อรองรับการผลิตรถรุ่นนี้ทั้ง 300 คัน โดยสายการผลิตจะเริ่มในช่วงปี 2022 ก่อนที่การส่งมอบในประเทศไทย คาดการณ์ว่าเร็วสุดจะเกิดขึ้นในปี 2022 ไตรมาส 4 เป็นอย่างไว
ในกรณีที่มีผู้สนใจจับจองเป็นเจ้าของ พวกเขาจะต้องควักกระเป๋าจ่าย 20% ให้กับเคอนิกเส็กก์เมื่อทำการจองรถ หรือหากคิดจาก 110 ล้านบาท ก็คือวางเงินจองก้อนแรก 22 ล้านบาท เพื่อให้บริษัทรับจอง จากนั้นจะต้องจ่ายอีก 30% หรืออีก 33 ล้านบาท เมื่อมีการออก VIN Number เพื่อยืนยันการเริ่มผลิตรถยนต์ของพวกเขา
อีก 50% ที่เหลือนั้น จะต้องชำระในวันส่งมอบ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในอีก 3-4 ปีข้างหน้า โดยจะชำระเป็นเงินก้อนเดียวเลยก็ได้ หรือหากไม่ต้องการจ่ายเงินเป็นก้อน 55 ล้านบาท ก็มีผู้ให้บริการทางการเงินอย่างธนาคารกสิกรไทย พร้อมที่จะเปิดให้กู้ในวงเงินประมาณ 50% ของตัวรถ เพื่อที่ลูกค้าสามารถแบ่งชำระได้อย่างสบายใจ
แน่นอนว่าเมื่อวงเงินสูงขนาดนี้ อัตราดอกเบี้ยที่ให้ต้องถือว่าไม่ธรรมดา และในเบื้องต้นนี้ ทางตัวแทนจำหน่ายได้ระบุอัตราดอกเบี้ยที่ 1.99% พร้อมการผ่อนชำระนานถึง 5 ปี หรือ 60 เดือน ซึ่งหากคิดเป็นเม็ดเงินคร่าว ๆ แล้ว ลูกค้าที่ต้องการผ่อนชำระ จะต้องจ่ายค่างวดรถคันนี้สูงถึงเดือนละ 9 แสนบาทเลยทีเดียวนะนี่
ถามว่าจะมีลูกค้ามาผ่อนชำระจริง ๆ หรือไม่ ในตอนนี้คงเป็นเรื่องยากที่ระบุได้ แต่จากการทำตลาดรถยนต์ระดับซูเปอร์ลักชัวรี่หรือไฮเปอร์คาร์ของหลาย ๆ ค่าย ก็มีลูกค้าที่ไม่ได้อยากจะจ่ายเงินเป็นก้อน หรือคิดว่าการลงทุนในระยะยาวอาจจะเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของพวกเขามากกว่า คือไม่ใช่ไม่มีเงินจะจ่าย แต่สะดวกใจแบบนั้นก็ไม่ผิด
ความเสี่ยงกับการทำตลาดรถยนต์ไฮเปอร์คาร์
อภิชาติ ลีนุตพงษ์ ประธานกรรมการ บริษัท เจเนอร์รัล ออโต้ ซัพพลาย จำกัด ที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดีกับการเป็นตัวแทนจำหน่ายลัมบอร์กินีในประเทศไทย ตอบคำถามถึงความเสี่ยงของการทำตลาดรถยนต์ไฮเปอร์คาร์ในประเทศไทยในสถานการณ์ปัจจุบัน ว่ายังเชื่อมั่นว่ามีกลุ่มลูกค้าที่พร้อมเป็นเจ้าของรถเหล่านี้ได้ในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าด้วยโควต้าที่ได้มาในประเทศไทยไม่มากนัก โดยเจเมร่ามีโควต้า 4 คัน และเจทโกนั้น หากมีผู้ต้องการ ก็ต้องไปเข้าคิวเพื่อรอสิทธิ์ในกรณีที่ลูกค้าที่จองไว้ทำการยกเลิก จึงจะสามารถซื้อได้ ซึ่งที่ผ่านมา มีผู้แสดงความสนใจเข้ามามากทั้ง 2 รุ่น ทำให้เชื่อว่าจะสามารถทำยอดจำหน่ายได้ตามเป้าหมาย
"แน่นอนว่าเราทำตลาดเราต้องได้กำไร แต่กับแบรนด์นี้ ผมมองว่าสุขใจมากกว่า เพราะผมชื่นชอบในแนวคิดของเจ้าของบริษัท และไม่ได้มียอดขายที่ต้องทำระดับสิบคันต่อปี หากในอนาคตเราขายไม่ได้ ก็ยังมีลูกค้าจากต่างประเทศที่รอต่อคิวอยู่ แต่เอาจริง ๆ ถ้าผมขายรถ 4 คันไม่ได้ภายใน 3 ปี ก็คงต้องพิจารณาตัวเองเหมือนกันนะ"
อภิชาติบอกว่านอกเหนือไปจากเคอนิกเส็กก์แล้ว มีผู้ประกอบการรถยนต์กลุ่มไฮเปอร์คาร์อีก 2-3 ราย ที่เข้ามาเจรจากับบริษัท เพื่อต้องการให้บริษัททำตลาดรถยนต์เหล่านั้นในอนาคต แต่ในขณะนี้ยังไม่ได้มีการตัดสินใจอะไรเพิ่มเติมกับแบรนด์ใหม่ ๆ แต่จะขอมุ่งมั่นทำงานกับแบรนด์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในมือให้ดีที่สุดเสียก่อน
เพราะแม้โปรเจคต์อย่าง Koenigsegg จะไม่ได้ใช้เม็ดเงินลงทุนมหาศาล การเปิดศูนย์บริการก็ใช้พื้นที่ไม่มากราว 100 กว่าตารางเมตรเท่านั้น แต่อภิชาติบอกว่านี่คือความสุขใจในการทำตลาดแบรนด์รถยนต์ที่อยากทำ และไม่ได้เป็นการทำธุรกิจที่มุ่งเน้นตัวเงินอย่างแน่นอน แต่อยากให้ลูกค้าที่มีกำลังซื้อกล้าตัดสินใจและมั่นใจว่ามีคนดูแลแน่นอนเท่านั้น!!!