- การจับพวงมาลัยมักจะอ้างอิงตามนาฬิกา
- มีวิธีอื่น แต่ให้ผลลัพธ์เดียวกัน
- หลายคนจับบริเวณด้านล่างพวงมาลัย จะอันตรายหรือเปล่า?
- เหตุผลเนื่องจากพวงมาลัยแบบเก่า
การจับพวงมาลัยที่ตำแหน่ง 10.10 น. มักเป็นวิธีที่ถูกแนะนำโดยผู้เชี่ยวชาญและโรงเรียนสอนขับรถกันอย่างแพร่หลายตั้งแต่เริ่มมีรถยนต์ แต่เมื่อเวลาผ่านมาและเทคโนโลยีที่มีวิวัฒนาการมากขึ้น การจับพวงมาลัยแบบนี้ยังจำเป็นอยู่ไหม ?
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีการสอนจับพวงมาลัยในตำแหน่งที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย (เช่น ตำแหน่ง 9.15 น.) แต่เหตุผลที่ต้องจับพวงมาลัยนั้นตัดสินจากอะไรบ้าง?
ก่อนที่จะสามารถขับรถบนถนนสาธารณะเราจำเป็นต้องมีใบอนุญาตขับขี่ส่วนบุคคลก่อนเป็นอันดับแรกสำหรับรถยนต์ทั่วไป
แต่ก่อนจะได้ใบขับขี่ ผู้คนส่วนใหญ่จะไปเรียนขับรถเพื่อเรียนรู้วิธีการขับรถทั้งกฎจราจรและมารยาทในการขับรถก่อนไปสอบใบอนุญาตขับขี่
ระหว่างการเรียนขับรถ เราอาจได้รับการสอนนอกจากการใช้งานพื้นฐานอย่าง “การเร่ง” “การเลี้ยว” และ “การหยุด” แต่ยังมีการปรับตำแหน่งเบาะนั่งและพวงมาลัย และการจับพวงมาลัยด้วย
การจับพวงมาลัยมักถูกสอนโดยอ้างอิงถึงนาฬิกา และผู้ที่มีใบขับขี่แล้วหลายคนก็ยึดถือวิธีจับพวงมาลัยที่อ้างอิงวิธีดังกล่าวมาตลอด
ไม่ใช้แบบนาฬิกา แต่ก็ให้ผลเหมือนกัน
โรงเรียนสอนขับรถแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นกล่าวเกี่ยวกับการสอนวิธีจับพวงมาลัยไว้ว่า “ในวิธีการสอนขับรถของเรา เราจะไม่ได้อ้างอิงโดยใช้นาฬิกาเหมือนในสมัยก่อน แต่เราจะสอนให้จับเหนือกึ่งกลางพวงมาลัยมาเล็กน้อย
นอกจากนี้ การจับพวงมาลัยเหนือกึ่งกลางจนมือทั้งสองติดกันก็เป็นเรื่องที่ไม่ดีเท่าไหร่ เพราะจะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวต่อไป จึงออกมาเป็นผลลัพธ์ได้ว่าเราควรจับพวงมาลัยที่ตำแหน่ง 10.10 น.”
กล่าวอีกนัยหนึ่ง นอกจากวิธีการใช้นาฬิกาอ้างอิงแล้ว วิธีจับเหนือกึ่งกลางพวงมาลัยก็ทำให้ตำแหน่งเป็น 10.10 น. เหมือนกัน
จากวิธีที่ครูสอนขับรถได้บอกไว้ข้างต้น ตำแหน่งการถือพวงมาลัยจะมีผลต่อคะแนนของการทดสอบทักษะการขับขี่ในโรงเรียนสอนขับรถในญี่ปุ่น โดยกล่าวว่า “ ถ้าถือพวงมาลัยที่ตำแหน่งครึ่งล่าง ก็จะถูกตัดคะแนน”
แต่เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังตำแหน่ง 10 และ 2 นาฬิกา ที่ถูกแนะนำจนกลายเป็นมาตรฐานในการทดสอบทุกวันนี้คืออะไร โดยผู้สอนขับรถได้อธิบายไว้ดังนี้
“ในขณะที่ขยับพวงมาลัยไปมา หากคุณจับที่ส่วนบนของพวงมาลัย คุณจะสามารถหมุนพวงมาลัยได้สะดวกด้วยการดึงจากด้านบนลงมาด้านล่าง
หรืออีกนัยหนึ่ง หากคุณจับพวงมาลัยที่ส่วนล่าง คุณจะต้องใช้แรงมากขึ้นในการหมุนพวงมาลัยจากล่างขึ้นบน
นอกจากนี้ การหมุนพวงมาลัยจากด้านบนลงล่างทำให้การขยับไปทำอย่างอื่นทำได้ง่ายขึ้น เช่นการเปลี่ยนเกียร์หรือการเปิดไฟเลี้ยว”
ด้วยวิธีนี้ การจับพวงมาลัยที่ส่วนบนมีความสำคัญต่อประสิทธิภาพในการขับขี่และความปลอดภัยในการเปลี่ยนไปสู่การเปลี่ยนเคลื่อนไหวอย่างราบรื่น
แต่ยังเห็นหลายคนจับพวงมาลัยด้านล่างอยู่นะ
ในปัจจุบัน รูปถ่ายที่หลายคนลงในอินเทอร์เน็ตหรือโซเชี่ยลมีเดีย นอกจากการจับพวงมาลัยตำแหน่ง 10.10 น. แล้ว ยังเห็นหลายคนจับพวงมาลัยจากด้านในอยู่บ้าง
การจับพวงมาลัยจากด้านในคือการจับพวงมาลัยที่จะหันฝ่ามือมาทางผู้ขับขี่ ซึ่งเป็นวิธีที่อันตรายอย่างมาก เนื่องจากเป็นการจับพวงมาลัยที่ผิดธรรมชาติ และมีโอกาสที่แขนจะหักได้หากถุงลมนิรภัยทำงานเมื่อเกิดอุบัติเหตุ
นอกจากนี้ บางคนที่จับพวงมาลัยบริเวณด้านล่างมักจะมีวิธีจับที่ไม่ชัดเจน เช่น การจับแบบหลวม ๆ หรือแค่เพียงเอานิ้วมาเกี่ยวไว้
แม้จะไม่สามารถบอกได้ว่าวิธีแบบนี้ถูกต้องหรือไม่ แต่การจับพวงมาลัยแบบดังกล่าวไม่น่าจะเป็นผลดีและหากเกิดเหตุการณ์กระทันหันอาจมีความเสี่ยงที่จะตอบสนองผิดพลาดได้
เหตุผลเนื่องจากพวงมาลัยแบบเก่า
เหตุผลเบื้องหลังการจับพวงมาลัยลักษณะนี้มาจากกลไกของรถในสมัยก่อน เพราะพวงมาลัยแบบเก่าจะใช้แรงจากแขนของเราไปยังยางโดยตรง และจะเป็นไปได้ยากหากคนที่มีแรงไม่มากจะต้องใช้งานพวงมาลัยโดยไม่ได้จับให้ถูกวิธี
ในทางกลับกัน ในรถสมัยใหม่ทุกคันย่อมมี “พวงมาลัยเพาเวอร์” ซึ่งจะช่วยในการหมุนพวงมาลัยด้วยการใช้ไฟฟ้าหรือไฮดรอลิก คุณจึงสามารถหมุนพวงมาลัยได้โดยไม่ต้องออกแรงมาก
เนื่องจากความสะดวกของการบังคับพวงมาลัยสมัยนี้ ทำให้หลายคนอาจไม่ให้ความสำคัญกับวิธีจับพวงมาลัยเหมือนแต่ก่อน
อ่านเพิ่มเติม : วิจัยเผย พวงมาลัยรถยนต์สกปรกกว่าห้องน้ำถึง 4 เท่า
ขอบคุณรูปภาพจาก kuruma-news.jp