นับตั้งแต่มีการนำรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มาใช้เป็นส่วนหนึ่งในวิธีการแก้ไขปัญหาโลกร้อน มีคนบางกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยและชี้ให้เห็นถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่มาจากการผลิตแบตเตอรี่ ไฮโดรเจน และพลังงานไฟฟ้าที่มาจากฟอสซิล
Volvo (วอลโว่) เล็งเห็นถึงประเด็นปัญหาเหล่านี้และได้เน้นย้ำให้รัฐบาลและผู้ให้บริการด้านพลังงานมีความใส่ใจมากขึ้น
window.googletag = window.googletag || {cmd: []}; googletag.cmd = googletag.cmd || []; googletag.cmd.push(function() { googletag.defineSlot('/22557728108/th_article_fourthp_under_pc', [
728,
90
], 'div-gpt-ad-1685678191139-0').addService(googletag.pubads()); googletag.pubads().enableSingleRequest(); googletag.pubads().collapseEmptyDivs(); googletag.enableServices(); });
googletag.cmd.push(function() { googletag.display('div-gpt-ad-1685678191139-0'); });
ค่ายรถจากสวีเดนชี้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาโลกร้อนได้ หากผู้ให้บริการด้านพลังงานไม่สามารถจัดหาพลังงานสะอาดมาใช้ได้และผู้มีอำนาจไม่ดูแลประเด็นนี้อย่างจริงจัง นับตั้งแต่เปิดตัว XC40 Recharge รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรก ในปี 2019 ผู้ผลิตประสบปัญหากับกระบวนการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (Life Cycle Assessment) ของรถยนต์ไฟฟ้าแต่ละรุ่น โดยแสดงผลกระทบจากคาร์บอนไดออกไซด์ และค่าเฉลี่ยโดยรวมของคาร์บอนฟุตพริ้นท์
การประเมิน LCA ของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Volvo C40 Recharge แสดงให้เห็นถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มากขึ้น เมื่อใช้ "ค่าเฉลี่ยสัดส่วนน้ำมันของโลก" โดย 50% มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งบั่นทอนภาพลักษณ์ของรถยนต์ไฟฟ้าที่จะนำมาแก้ไขในเรื่องปัญหาโลกร้อน
ที่แย่กว่านั้นคือการปล่อยมลพิษจากการผลิต C40 Recharge นั้นสูงกว่า XC40 ที่ใช้น้ำมันถึง 70% ซึ่งนี่อาจจะเป็นการลดทอนประโยชน์ของรถยนต์ไฟฟ้าที่มีต่อสิ่งแวดล้อมในอนาคต Volvo ชี้ว่ามลพิษที่เพิ่มขึ้นมาจากความเข้มข้นของคาร์บอนในแบตเตอรี่และการผลิตเหล็ก ตลอดจนการใช้วัสดุอลูมิเนียมที่สูงขึ้นของรถยนต์
ผู้ผลิตรถยนต์จึงตั้งใจที่จะทำงานร่วมกับบริษัทเหล็ก SSAB และผู้จัดจำหน่ายแบตเตอรี่ เพื่อสร้างพลังงานหมุนเวียน 100% และเหล็กปลอดเชื้อเพลิงฟอสซิล แต่เพื่อให้สิ่งนี้เกิดขึ้นแน่นอนว่ามันยังไม่เพียงพอ เนื่องจากถ้าต้องการเปลี่ยนแปลงในระยะยาวจำเป็นต้องมีเงินลงทุนมหาศาลในด้านพลังงานสะอาด
เมื่อเทียบกับรถทั่วไปรถยนต์ไฟฟ้าจะสามารถลดมลพิษได้ถึง 50% เมื่อสร้างและชาร์จด้วยพลังงานสะอาดเท่านั้น
การริเริ่มของ Volvo ยังได้รับการสนับสนุนโดยรายงานประจำปี 2564 ของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ ซึ่งพบว่าเพื่อรักษาอุณหภูมิโลกให้ไม่เกิน 2 องศา การลงทุนด้านพลังงานสะอาดทั่วโลกจะต้องเพิ่มเป็นสองเท่าก่อนสิ้นทศวรรษนี้
อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตรถยนต์มุ่งมั่นที่จะลดการผลิตคาร์บอนฟุตพริ้นท์สำหรับรถแต่ละรุ่นลง 40% เช่นเดียวกับห่วงโซ่อุปทาน (ลดลง 25%) ภายในสามปีถัดไป
window.googletag = window.googletag || {cmd: []}; googletag.cmd = googletag.cmd || []; googletag.cmd.push(function() { googletag.defineSlot('/22557728108/th_article_relatedmodel_above_pc', [
728,
90
], 'div-gpt-ad-1685678175456-0').addService(googletag.pubads()); googletag.pubads().enableSingleRequest(); googletag.pubads().collapseEmptyDivs(); googletag.enableServices(); });
googletag.cmd.push(function() { googletag.display('div-gpt-ad-1685678175456-0'); });