Toyota (โตโยต้า) เผยแผนลงทุน 2 พันล้านดอลล่าร์ ตั้งโรงงานทำรถไฟฟ้าในประเทศอินโดนีเซีย เตรียมตัวออกรถรุ่นใหม่ภายใน 4 ปีหน้า เริ่มจากไฮบริดก่อน แล้วตั้งเป้าขายไฟฟ้าล้วนให้ได้ครึ่งหนึ่ง ส่วนสาเหตุว่าทำไมค่ายรถนี้ไม่มาลงทุนในไทย มีคำตอบให้ท้ายเรื่อง

โตโยต้าลงทุน 2 พันล้านเหรียญ

การลงทุกครั้งนี้ไม่ใช่การลงเงินก้อน แต่ได้มีการลงทุนในอินโดนีเซียอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2019 โดยทางโตโยต้าวางแผนไว้ว่า ในปี 2023 จะลงเงินให้โรงงานในอินโดนีเซียทั้งหมด 2 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ เพื่อพัฒนาและผลิตแบตเตอรี่ใส่รถทั้งระบบไฮบริดและไฟฟ้าล้วน ส่งออกขายทั่วโลก

อ่านเพิ่มเติม : โตโยต้าวางแผนทำแบตเตอรี่ Solid State

แม้ว่าจะลงทุนมาที่อินโดนีเซีย แต่โตโยต้าก็ยังคงความร่วมมือกับ BYD ในประเทศจีน เพื่อร่วมกันพัฒนาแบตเตอรี่ใส่ในรถ EV ต่อไปด้วย นับเป็นการขยายกำลังการผลิต มากกว่าการย้ายฐานการผลิต

เตรียมทำยอดขาย EV ครึ่งนึงของทั้งหมด

Toyota ตั้งเป้าไว้ว่า ในปี 2025 จะมียอดขายรถไฟฟ้าล้วนจำนวนครึ่งหนึ่งของยอดขายโตโยต้าทั้งหมด ซึ่งในปี 2020 โตโยต้ามียอดขายทั่วโลกรวมกันตลอดปีได้ 8.6 ล้านคัน ซึ่งหากคงรักษายอดขายระดับนี้เอาไว้ นั่นหมายความว่า รถยนต์ไฟฟ้าจะต้องมียอดขายสะสมรวมกันถึง 4.3 ล้านคันในปี 2025

อ่านเพิ่มเติม : ส่องตลาดรถยนต์ไฟฟ้า 3 ประเทศอาเซียน

ออกรถรุ่นใหม่รัว ๆ จนถึงปี 2025

ในปัจจุบันโตโยต้ามีรถยนต์ไฟฟ้าล้วนเพียงแค่ Toyota C-HR EV ที่ขายในจีน และเพิ่งเปิดตัวรถต้นแบบ Toyota bZ4X มาโชว์ตัวเท่านั้น จะเริ่มจำหน่ายภายในปีหน้า นั่นทำให้โตโยต้าต้องเร่งผลิตทั้ง EV และ HEV ให้ครบทุกรุ่นที่มีขาย ถึงจะสามารถทำยอดขายได้ระดับเป้าหมาย

ทำไมไม่มาลงทุนในไทย

ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์อันดับ 1 ในภูมิภาคอาเซียน แต่สาเหตุที่ไม่ยอมตั้งโรงงานแบตเตอรี่ในไทย เพราะว่าที่อินโดนีเซีย มีแร่นิเกิลจำนวนมากกว่าไทย ซึ่งคือแร่ที่จำเป็นต่อการผลิตแบตเตอรี่ อีกทั้งรัฐบาลอินโดนีเซียก็มีส่วนลดภาษีพิเศษ สำหรับคนมาตั้งโรงงานในประเทศเขาอีกด้วย

อ่านเพิ่มเติม : Toyota C-HR ตัดรุ่นเบนซิน 1.8 ออกไป

ไม่ว่าจะผลิตที่ไทยหรืออินโดฯ ก็ตาม นี่คือข่าวดีที่เราจะได้ใช้รถพลังงานไฟฟ้าจากโตโยต้าแน่นอนในอีก 4 ปีข้างหน้านี้ เช่น Toyota Fortuner HEV รวมถึงกระบะ Hilux Revo ก็จะได้ใช้ไฮบริดอีกในไม่นานนี้ ใครที่คิดว่าโตโยต้าไม่เอาจริงเรื่อง EV อาจจะต้องคิดใหม่แล้วในอนาคต