ฮอนด้า บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น เปิดตัว 2020 ฮอนด้า ซิตี้ ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 6.09 แสนบาทสำหรับรุ่น 1.0 TURBO S CVT ไปจนถึง 7.39 แสนบาทในรุ่นสูงสุด 1.0 TURBO RS CVT ที่มาพร้อมชุดแต่งแบบสปอร์ต ทุกรุ่นย่อยมาพร้อมเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร DOHC VTEC TURBO 3 สูบ 12 วาล์ว พละกำลัง 122 แรงม้า มากที่สุดในคลาสเดียวกัน แรงบิด 173 นิวตันเมตร

2020 ฮอนด้า ซิตี้ เป็นรถยนต์อีโคคาร์ที่ผลิตโดย ฮอนด้า ในประเทศไทย ทำตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็กอีโคคาร์-บีเซกเมนท์ เปิดตัวครั้งแรกในโลกในไทยเมื่อปลายปี 2562 ที่ผ่านมา จุดเด่นของเครื่องยนต์เทอร์โบไม่เพียงอยู่ที่พละกำลังที่สูง แต่ยังมีความประหยัดน้ำมัน 23.8 กิโลเมตร/ลิตร บนน้ำหนักตัวรถ 1,165 กก.

2020 All-New Honda City (2020 ฮอนด้า ซิตี้) เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมโครงการอีโคคาร์ เฟสสอง ซึ่งเป็นโครงการที่รัฐบาลต้องการสนับสนุนการลงทุนเพื่อผลิตรถยนต์นั่งประหยัดพลังงานที่มีมาตรฐานความปลอดภันระดับสากล

ด้วยข้อจำกัดที่เข้มงวดในเรื่องของอุปกรณ์ความปลอดภัยที่ต้องเพิ่มเติมเข้ามา ร่วมถึงอัตรการประหยัดน้ำมันที่ต้องทำได้ไม่ต่ำกว่า 23 กิโลเมตรต่อลิตร โดยไม่ได้มีการกำหนดราคาจำหน่ายตายตัว แน่นอนว่าผู้เข้าร่วมทุกรายต้องเจอการแข่งขันในตลาดเป็นตัวคุมราคาไม่ให้โดดเกินไปอยู่แล้ว

ฮอนด้า (Honda) ในฐานะหนึ่งในผู้นำในตลาดรถยนต์นั่งในประเทศไทยก็เข้าร่วมโครงการนี้ ด้วยการส่งรถยนต์นั่งที่ขายดีที่สุดของพวกเขาอย่างฮอนด้า ซิตี้ (Honda City) มาร่วมในโครงการนี้ เพื่อหวังตีกินตลาดรถยนต์นั่งระดับต่ำกว่าบี-เซกเมนต์ลงมาทั้งหมดให้ครอบคลุม

การเปลี่ยนแปลงในรถยนต์รุ่นใหม่มีอยู่หลายเรื่องมาก การออกแบบดีไซน์ใหม่หมดจดทั้งภายในและภายนอก ให้ได้รถยนต์ที่สปอร์ต แต่ยังใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย พร้อมทั้งติดตั้งอุปกรณ์ด้านความสะดวกสบายและความปลอดภัยมาอย่างมากมาย เพื่อให้ลูกค้าเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม

รวมถึงการเลือกใช้หัวใจใหม่อย่างเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร เทอร์โบ ที่ทำให้ฮอนด้า ซิตี้ เป็นอีโคคาร์ เบนซิน ที่ให้สมรรถนะสูงที่สุดในตลาด เป็นรองก็เพียงแต่มาสด้า 2 เครื่องยนต์ดีเซล (Mazda 2 Diesel) เท่านั้น แต่ราคาก็ยังน่าคบหากว่าอยู่

ส่วนตัวรถจะน่าใช้เพียงใด ติดตามไปทดลองขับพร้อมกันได้เลย

รูปลักษณ์รถยนต์แห่งความทะเยอทะยาน

ฮอนด้านั้นในแนวคิดในการสร้างสรรค์ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ว่า Ambitious Sedan เพื่อสะท้อนว่ารถคันนี้คือรถที่ออกแบบมาเพื่อต้องการขยับฐานะขึ้นมา และก็ได้ออกมาเป็นรถที่ดูใหญ่ขึ้น บึกบึน ดูมีความแข็งแกร่งที่พร้อมที่จะปกป้องดูแลผู้ขับขี่และผู้โดยสารทุกคน

ดีไซน์ตัวถังด้านหน้าแบบ Solid Wing ที่ถูกถ่ายทอดมาในรถยนต์หลายรุ่นก็ยังนำมาใช้เหมือนเช่นเคย พร้อมด้วยการออกแบบที่เน้นความโฉบเฉี่ยวอย่างเส้นไฟแอลอีดีด้านหน้าที่คาดมาอย่างหรู และการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ทำให้ตัวรถดูพรีเมียม แม้จะเป็นกลุ่มรถขนาดเล็กก็ตาม

ขนาดตัวถังที่ขยายออกในแนวกว้างและยาว ด้วยการเพิ่มความยาวจากรุ่นเดิมไป 113 มิลลิเมตรแลความกว้าง 53 มิลลิเมตร ทำให้ฮอนด้า ซิตี้มีขนาดที่ใหญ่กว่าคู่แข่งในเซกเมนต์เดียวกัน และยังกดความเตี้ยลงไปเกือบจะเตี้ยสุด สูงกว่าก็เพียงแค่นิสสัน อัลเมร่า (Nissan Almera) เท่านั้น

รุ่นท๊อปอย่างอาร์เอส มาพร้อมชุดแต่งเพิ่มเติมมาก ไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้าแบบตาข่าย กระจกมองข้างและสปอยเลอร์หลังสีดำเงา กันชนท้ายแบบสปอร์ต ลิ้นหน้าและดิฟฟิวเซอร์ท้ายลายคาร์บอนไฟเบอร์ มาพร้อมไฟหน้าแบบแอลอีดี ไฟตัดหมอก และล้ออัลลอย 16 นิ้ว ที่ใหญ่กว่ารุ่นอื่น 1 นิ้ว

สิ่งที่รู้สึกได้นอกเหนือจากบรรดาอุปกรณ์ที่ติดตั้งเพิ่มขึ้นมา ก็คือการออกแบบรถคันนี้มีความลงตัวและการเก็บรายละเอียดของรถที่ดีขึ้น และยังสามารถนำไปต่อยอดเพื่อแต่งต่อได้ในอีกหลายรูปแบบ เป็นงานออกแบบรถยนต์ยุคใหม่ที่ดูลงตัวเลยทีเดียว

ห้องโดยสารเพื่อความสบายในการเดินทาง

แม้ระยะฐานล้อจะสั้นลง 11 มิลลิเมตร แต่ไม่ได้หมายความว่าพื้นที่ห้องโดยสารจะแคบลงไปด้วย เพราะทีมออกแบบของฮอนด้าทำการแก้ไขด้วยการปรับตำแหน่งของแดชบอร์ดให้เลื่อนไปข้างหน้า ลดตำแหน่งของบริเวณช่องคันเกียร์ รวมถึงการทำด้านหลังของเบาะที่นั่งคู่หน้าให้เว้าเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย

นอกจากนี้ ยังได้มีการดีไซน์บริเวณใต้เบาะหน้าเสียใหม่ เพื่อให้ผู้โดยสารสามารถสอดเท้าเข้ามาได้ลึกขึ้นกว่าเดิมอีก 31 มิลลิเมตร ทั้งหมดนี้ทำให้ได้ห้องโดยสารที่ไม่ได้ดูสปอร์ตหวือหวาแบบซีวิค แต่ให้ความโปร่งโล่งและสบายมากกว่า

รุ่นเทอร์โบ อาร์เอส มาพร้อมเบาะที่นั่งหุ้มด้วยหนังสลับหนังกลับ เดินด้ายแดงตามจุดต่าง ๆ ที่เดินได้ แม้จะพยายามเน้นความสปอร์ตแล้ว แต่ด้วยโครงสร้างของตัวรถ ต้องบอกว่าฮอนด้าไม่สามารถทำอะไรไปได้มากกว่านี้กับความพยายามเน้นความสปอร์ตในซิตี้รุ่นนี้

แผงแดชบอร์ดที่เน้นการตกแต่งด้วยสีดำสลับกับวัสดุสีเงิน เลือกใช้วัสดุแบบลดต้นทุนทำให้ดูไม่หรูหรา แต่การจัดวางตำแหน่งของอุปกรณ์การใช้งานทำได้ดีมาก ทุกอย่างเห็นอย่างชัดเจนและอยู่ในตำแหน่งที่ใช้งานได้เป็นอย่างดี ตำแหน่งเกียร์อยู่ลึกไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ถือเป็นจุดด้อย

รุ่นท็อปมาพร้อมอุปกรณ์ที่เพิ่มเติมขึ้นมาอย่างจอกลางขนาด 8 นิ้วระบบสัมผัส ลำโพง 8 ลำโพง แพดเดิลชิฟท์ พร้อมระบบฮอนด้า คอนเนคต์ (Honda Connect) ที่สามารถตรวจสอบและควบคุมระบบบางอย่างของรถได้ผ่านแอพพลิเคชั่นที่เชื่อมตรงกับมือถือ

การแก้ไขในรายละเอียดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

พื้นฐานของโครงสร้างแพลตฟอร์มรถคันนี้คือการนำแพลตฟอร์มของซิตี้รุ่นที่ผ่านมา มาทำการปรับจุดด้อยลงไป โดยมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้รองรับเครื่องยนต์ใหม่ รวมถึงโครงสร้างตอนบน ปรับความแข็งแกร่งของแพลตฟอร์มให้รองรับกับสมรรถนะของรถที่เพิ่มขึ้น

มีการเพิ่มอุปกรณ์ซับเสียงบริเวณตอนล่างของตัวรถเพื่อความสะดวกสบายของผู้โดยสาร ขณะที่อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ติดตั้งเข้ามาก็เพียงพอต่อการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ กุญแจรีโมตที่สามารถเปิดฝากระโปรงท้ายได้จากรีโมต เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่น

ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์แบบปุ่มอัจฉริยะ มาพร้อมระบบสมาร์ทคีย์ ยกเว้นในรุ่นล่างสุด โดยมาพร้อมระบบตัดการทำงานของเครื่องยนต์อัตโนมัติเมื่อรถหยุดนิ่ง ซึ่งจะช่วยให้อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันของรถสามารถทำได้ดีขึ้น แต่หากรำคาญก็สามารถปิดได้เช่นกัน

ในรุ่นท๊อปมาพร้อมระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ โครงสร้างตัวถัวแบบนิรภัย G-CON อันลือชื่อถูกนำมาใช้ ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่งเพื่อความปลอดภัยสูงสุดในการเดินทาง กล้องถอยหลังแบบปรับมุมมองได้ 3 รูปแบบ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้ผู้ขับขี่

ฮอนด้า ซิตี้ ทุกรุ่นจะมาพร้อมกับระบบความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นระบบป้องกันล้อล็อก ระบบกระจายแรงเบรก ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวและควบคุมการหมุนฟรีของล้อ ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน รวมไปถึงระบบไฟฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อเบรกอย่างรุนแรง     

เครื่องยนต์ที่พัฒนาเพื่อความสนุกสนานในการขับขี่

ฮอนด้าเลือกใช้เครื่องยนต์เทอร์โบรุ่นเล็กกับรถรุ่นใหม่ของพวกเขา เป็นการเดินทางที่ต่อเนื่องมาจากการใช้เครื่อง L15B7 ในรุ่นพี่อย่างฮฮนด้า ซีวิค (Honda Civic) ซึ่งแม้เครื่องยนต์ 1.0 เทอร์โบจะไม่ใช่ของใหม่มากในไทย แต่ก็เรียกเสียงฮือฮาได้จากบรรดาแฟน ๆ อยู่

เครื่องยนต์ใหม่รหัส P10A6 แบบเบนซิน 3 สูบ ขนาด 988 ซีซี. หัวฉีดไดเรคต์อินเจคชั่น มาพร้อมระบบวาล์วแปรผันแบบดูอัล วีซีทีและวีเทค พ่วงระบบอัดอาการเพิ่มสมรรถนะ เน้นการประหยัดน้ำมันและลดการปล่อยไอเสียเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

พละกำลังสูงสุด 122 แรงม้าที่ 5,500 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 173 นิวตันเมตรที่ 2,000-4,500 รอบต่อนาที รองรับเชื้อเพลิงสูงสุดที่อี20 ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำเพียง 99 กรัมต่อกิโลเมตร และผ่านมาตรฐานไอเสียระดับยูโร 5

เกียร์อัตโนมัติแบบซีวีที ส่งกำลังด้วยทอร์ค คอนเวิร์ตเตอร์ สามารถล็อกอัตราทดได้ 7 จังหวะ และมีแป้นเปลี่ยนเกียร์แบบแพดเดิลชิฟท์ให้ในรุ่นอาร์เอส พร้อมทำการปรับระบบส่งกำลังให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์เทอร์โบที่มีการเปลี่ยนแรงบิดที่สูงกว่าเครื่องยนต์ทั่วไป

ตัวรถพัฒนามาดีในเกือบทุกด้าน

ฮอนด้าคุยว่ารถใหม่คันนี้ของพวกเขานั้น สามารถให้การประหยัดน้ำมันสูงถึง 23.8 กิโลเมตรต่อลิตร แม้จะให้พละกำลังไม่แตกต่างจากเครื่องยนต์ 1.8 ลิตรก็ตามที แถมยังมีจุดเด่นในเรื่องความง่ายดายในการใช้งานรถในแบบของฮอนด้า ที่เซตอัพเครื่องยนต์มาเพื่อการใช้งานในชีวิตประจำวันดีอยู่แล้ว

ช่วงล่างที่เซตอัพมาเหมาะสำหรับการเดินทางในชีวิตปกติที่เน้นความนุ่มนวลในการเดินทางเป็นหลัก การดูดซับแรงกระแทกจากพื้นถนนดีมากขึ้นจากรุ่นเดิม และนิ่งกว่าเดิมที่ย่านความเร็วสูง แบบไม่ต้องไปปรับจูนอะไรเพิ่มเติมทั้งสิ้น

พวงมาลัยเซตน้ำหนักมาอย่างดี ให้ความหนืดที่ความเร็วต่ำหรือการใช้งานในเมือง แต่จะกระชับฉับไวมากขึ้นเมื่อเพิ่มความเร็ว มีความแม่นยำในการเปลี่ยนเลนอย่างสูง ซึ่งแม้จะยังไม่คมที่สุดในเซกเมนต์ แต่ก็ถือเป็นพวงมาลัยที่ไว้ใจได้ในการขับขี่ทุกรูปแบบ

การเก็บเสียงนั้น แม้จะดีขึ้นมากแต่ก็ยังไม่ได้เงียบเบาหูไปซะหมด โดยเฉพาะตำแหน่งของเบาะหลังที่ยังได้ยินเสียงลมรบกวนอยู่ อันนี้ต้องเข้าใจว่าเป็นปัญหาของรถระดับนี้หลาย ๆ คันเหมือนกัน แต่ก็มีคู่แข่งบางรายที่ทำได้ดีกว่ารถใหม่คันนี้เช่นกัน

ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ เปิดตัวใน 4 รุ่นย่อย ด้วยราคาตั้งแต่ 5.795-7.39 แสนบาท โดยมีสีให้เลือก 4 สีหลักในทุกรุ่น ได้แก่ สีขาว สีเงิน สีเทาเข้ม และสีดำ ใน 2 รุ่นท็อปสามารถจ่ายเงินเพิ่มเลือกสีขาวมุกได้ แต่หากมุ่งเป้าไปที่รุ่นท็อป ก็จะมีสีพิเศษอย่างสีแดงเป็นสีขายของรุ่นนี้

รถพัฒนามาดีขึ้นแล้ว ส่วนที่เหลือจะโดนใจผู้บริโภคหรือไม่ คุณเท่านั้นที่ตอบได้ ไปลองขับแล้วตัดสินใจกันดูนะ