การทำรถยนต์แบบไมเนอร์เชนจ์ให้มีความใหม่หมดจดทั้งรูปลักษณ สมรรถนะและระบบความช่วยเหลือด้านการขับขี่ จะทำให้นิสสันขึ้นไปแข่งขันกับคู่แข่งแบรนด์อื่น ๆ สนุกขึ้นอย่างแน่นนอน แต่จะดีพอทำให้พวกเขาขึ้นไปท้าทายได้ถึงตำแหน่งไหน ต้องมาดูการตอบรับจากลูกค้าอีกที
แต่บอกเลยว่าลืมนิสสันอืด ๆ ช่วงล่างแน่น ๆ เก่า ๆ ไปได้เลย...
ราคาจำหน่าย |
Nissan Navara 2.3T VL |
1.129 ล้านบาท |
Highlight ใน 2021 Nissan Navara VL
- การออกแบบด้านหน้าที่สปอร์ต ดุดัน มากขึ้น
- ห้องโดยสารใหม่เน้นความสบายในการใช้งาน
- เปลี่ยนมาใช้งานเครื่องยนต์ 2.3 ลิตร เทอร์โบคู่
- กำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตันเมตร
- ระบบความปลอดภัยติดตั้งมาอย่างครบครัน
นิสสัน นาวาร่า ที่หน้าตาดุดันที่สุดในประวัติศาสตร์
แม้จะมีรุ่นแต่งอย่างดุรอบคันอย่าง Nissan Navara Pro4X (นิสสัน นาวาร่า โปร4เอ็กซ์) แต่นั่นก็หมายถึงคุณจะต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้น และอาจจะต้องเลือกลดฟังชั่นส์อะไรบางอย่างของตัวรถไป ในการใช้งานรถจริง ๆ แบบสิงห์กระบะก็อาจจะต้องเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งานที่สุด
สิ่งที่คุณจะได้จากนาวาร่า รุ่นวีแอลก็คือการออกแบบภายนอกที่ดูคล้ายโปร4เอ็กซ์ ขาดแค่การตกแต่งสีสีในรูปแบบต่าง ๆ และได้ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วที่ดูบึกบึนกว่าล้อ 17 นิ้วในรุ่นท็อปสุด ยางนั้นเปลี่ยนกันได้ไม่ใช่ปัญหา เรียกว่าในเชิงอุปกรณ์ วีแอลถือว่าครบครันเสียมากกว่าด้วยซ้ำ
รูปลักษณ์ภายนอกนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นทางการที่ด้านหน้าของรถ ด้วยการเลือกใช้กระจังหน้าสีดำขนาดใหญ่มาก ติดตั้งโลโก้พร้อมกล้องตัวหน้าที่ใต้โลโก้ขนาดใหญ่ ขยายขนาดของแถบสีเงินรูปตัว V ออกไป พร้อมติดตั้งแถบสีเงินพร้อมตัวอักษร NAVARA บนขอบฝากระโปรง
ชุดแต่งที่ติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของวีแอลนั้นดูแข็งแกร่งและบึกบึน เน้นความหนาของชุดแต่งให้ดูแข็งแรง ชุดกรอบโคมไฟหน้าแบบใหม่ มาพร้อมไฟส่องสว่างกลางวันแบบแอลอีดีรูปตัว C พร้อมชุดไฟแบบก้อนน้ำแข็ง 4 ก้อนที่ติดตั้งอยู่ในกรอบเดียวกันทั้งหมด เป็นจุดเด่นของรถ
กระจกมองข้างมาพร้อมไฟเลี้ยวที่ติดตั้งที่กรอบกระจก พร้อมด้วยกล้องขนาดเล็กซ่อนอยู่ที่ด้านล่างทั้ง 2 ข้าง มือเป็นประตูสีโครเมียม มาพร้อมกับระบบสมาร์ท เอนทรี บานประตูนั้นเปิดไม่ได้กว้างมาก แต่ก็ไม่ได้ทำให้ก้าวขึ้น-ลงรถลำบาก เพราะมีมือจับด้านในช่วยให้เหวี่ยงตัวขึ้นไปนั่งได้
นิสสัน นาวาร่า วีแอล ยังมาพร้อมอุปกรณ์ภายนอกเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกาบบันไดด้านข้างสีดำ หรือแร็คหลังคาสีเงินที่สามารถบรรทุกของได้เพิ่มเติม ด้ายท้ายมาพร้อมฝากระโปรงที่ติดตั้งกล้องตัวที่ 4 ที่บานเปิดฝาท้าย มาพร้อมระบบผ่อนแรงในการเปิด-ปิด
เสาอากาศแบบแท่งเล็กยาว ดูน่าจะเกะกะเวลาเข้าอาคารเตี้ย ๆ ใช้ได้ ไฟเบรกดวงที่สาม บันไดท้ายสำหรับการปีนขึ้นกระบะท้าย ด้านล่างของฝากระบะมาพร้อมแถบที่ปั้มตัวอักษร NAVARA โดดเด่น ไฟท้ายออกแบบมีมิติชัดเจน พร้อมฮุคที่ติดตั้งมาในฝาท้าย และล้ออะไหล่ติดตั้งใต้ฝากระบะ
มิติตัวถัง |
กว้าง |
1,850 มิลลิเมตร |
ยาว |
5,260 มิลลิเมตร |
สูง |
1,845 มิลลิเมตร |
ระยะฐานล้อ |
3,150 มิลลิเมตร |
ความสูงใต้ท้องรถ |
230 มิลลิเมตร |
เปลี่ยนภายใน-เพิ่มออพชั่นจาก Nissan Navara เดิม
ห้องโดยสารของ Nissan Navara นั้นให้ความสะดวกสบาย ใช้งานได้อย่างง่ายดายมาตั้งแต่รุ่นเดิม และเมื่อทำการปรับโฉม ทีมงานของนิสสันเองก็ไม่ได้ปรับแต่ภายนอกของตัวรถ แต่การออกแบบภายในห้องโดยสารนั้น ก็มีการปรับปรุงค่อนข้างมากจนรู้สึกได้ เมื่อก้าวเข้ามาในพื้นที่ภายในตัวรถ
ที่ด้านหน้าของรถนั้นมีการเพิ่มและลดอุปกรณ์ลงไปหลายจุด สิ่งที่หายไปจากรุ่นเดิมก็คือที่วางแก้วน้ำด้านหน้าช่องแอร์ฝั่งซ้าย-ขวาของตัวรถ และถาดวางของด้านหน้ารถที่มีจุดชาร์จไฟที่ปกติแล้วจะเอาไว้ต่อกับกล้องมองหน้ารถที่ติดเพิ่ม งานนี้ใครจะใช้ต่อก็ต้องเดินสายไฟกันให้ดีดี
สิ่งที่เพิ่มมาบ้าง หน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้วตรงกลางรถนั้น มาพร้อมกับระบบ Nissan Connect ที่รองรับทั้งการเชื่อมต่อของ Apple CarPlay และ Android Auto เป็นที่เรียบร้อย สามารถใช้งานได้อย่างง่ายดายเพียงแค่เสียบสายเข้ากับช่องเสียบยูเอสบีที่ติดตั้งอยู่ใต้ปุ่มเปลี่ยนระบบขับเคลื่อน
พวงมาลัยนั้นถูกออกแบบให้มีมิติและเหลี่ยมมุมมากขึ้น พร้อมกับการจัดวางปุ่มควบคุมต่าง ๆ บนพวงมาลัยให้สามารถใช้งานได้ง่ายดายขึ้น มาตรวัดแบบอนาล็อก ตรงกลางเป็นหน้าจอดิจิตอลขนาดเล็กที่แสดงผลข้อมูลต่าง ๆ รวมถึงการควบคุมระบบก็สามารถทำได้ผ่านปุ่มควบคุมบนพวงมาลัย
การตกแต่งของห้องโดยสารพยายามเน้นความหรูหรามากขึ้น การเปลี่ยนโทนสีจากเดิมที่ใช้ดำ-เทาสลับโครเมียม ก็มีการเพิ่มสีสว่างในห้องโดยสารมากขึ้น และแน่นอนว่าเบาะที่นั่งลายพิมพ์ 3 มิตินั้นให้ความสบาย การรองรับน้ำหนัก แผ่นหลังและช่วงก้นของผู้โดยสารได้อย่างดีทั้งตอนหน้าและหลัง
ห้องโดยสารตอนหลัง นอกจากจะได้เบาะลายรังผึ้งเหมือนกับตอนหน้า ยังมีการติดตั้งที่วางข้อศอกที่พับได้ พร้อมช่องวางแก้วน้ำอีก 2 แหน่ง มีช่องอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลังที่กึ่งกลางรถ พร้อมด้วยที่ชาร์จไฟด้วยระบบยูเอสบี ทำให้สามารถเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสารมากขึ้น
สรุปแล้ว ห้องโดยสารของนาวาร่าใหม่นั้นให้บรรยากาศไม่ได้แตกต่างจากรุ่นเดิม แถมของที่หายไปก็เป็นของที่ผมเองค่อนข้างชอบ แต่ก็แลกมากับเบาะที่รับน้ำหนักตัวได้ดีกว่า เบาะฝั่งคนนั่งนี่จะหวงไฟฟ้าไว้ทำไมก็ไม่รู้ ส่วนเบาะคนขับก็ปรับได้ไม่ค่อยละเอียด ไหนจะบังลมหน้าไม่มีกระจกกับไฟอีก
เครื่องยนต์ยืมเทอร์ร่ามา ไม่อืดอาดด้วยตัวถังเบาลง
ในวันที่บอกหลาย ๆ คนว่านิสสันไปเอาเครื่องยนต์ของ Nissan Terra มาใส่ในรถกระบะของพวกเขา หลาย ๆ คนถึงขั้นถามเลยว่าจะไหวหรือ เพราะตอนที่อยู่ในเทอร์ร่านั้น เอาจริง ๆ ก็ไม่ใช่เครื่องยนต์ที่ให้การตอบสนองที่ปรู๊ดปร๊าดดีเยี่ยมเท่าไหร่ ก็แหงล่ะ รถมันหนักขนาดนั้น
แต่พอมาอยู่บนตัวถังของนาวาร่าที่เบากว่าอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนว่าทีมวิศวกรของนิสสันได้พยายามทำให้เครื่องยนต์มีความกระฉับกระเฉงในการขับขี่เพิ่มมากขึ้น การออกตัวนั้นลื่นไหล การสับเกียร์เป็นไปอย่างคล่องแคล่ว เรียกว่าทำความเร็วต้นถึงกลางได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง
ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าเจ้าเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ เทอร์โบคู่ รหัส YS23DDTT ซึ่งเป็นรุ่น High Power ในตัววีแอลที่เรานำมาทดสอบนั้น ถือว่าเด็ดดวงใช้ได้ แม้จะไม่ได้ปรู๊ดปร๊าดสะใจ แต่ถ้าเอาไปวิ่งกับคู่แข่ง ก็น่าจะเบียดได้อย่างสูสีช่วงออกตัว แล้วไปโดนทิ้งช่วงท้าย ๆ ที่ความเร็วสูงเท่านั้น
เครื่องยนต์รุ่นที่ยกมาจากเทอร์ร่านั้นยังคงให้สมรรถนะที่ไม่แตกต่างกันเมื่อมาอยู่ในนาวาร่า โดยตามสเปคที่ระบุไว้จะให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้าที่ 3,750 รอบต่อนาที พร้อมด้วยแรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตรที่ 1,500-2,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
เอาจริง ๆ ถ้าดูตัวเลขจากสเปคก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากคู่แข่งในท้องตลาดมาก ยกเว้นสองเจ้าที่ลากเครื่องยนต์ผ่านระดับ 200 แรงม้า 500 นิวตันเมตรไปแล้ว อันนั้นปรู๊ดปร๊าดกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อเทียบ ๆ กับรายอื่น ๆ ที่เหลือแล้วก็ถือว่าสู้ได้ โดยเฉพาะเกียร์ลูกนี้จัดว่าตอบสนองดีและไวเลย
ในรถขับเคลื่อน 4 ล้อทุกรุ่น จะมาพร้อมระบบป้องกันการลื่นไถล ระบบจะส่งแรงไปยังล้อที่ลื่นไถลให้การออกตัวที่ลื่น พร้อมกระจายแรงขับขี่ไปที่ล้อแต่ละข้างเมื่อขับขี่ในโหมด 4H ขณะที่ ระบบล็อกเฟืองท้ายแบบไฟฟ้า ช่วยเสริมกำลังฉุดเมื่อขับขี่ในสถานการณ์ที่ต้องการแรงบิดสูงในโหมด 4L
โมโนเฟรมแชสซีทำจากเหล็กกล้าชิ้นเดียวตลอดคัน ที่มีชื่อเสียงของ Nissan มาพร้อมระบบช่วงล่างและระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระปีกนกคู่พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโครง ขณะที่ระบบกันสะเทือนหลังเป็นแบบแหนบซ้อนพร้อมโช๊คอัพ โดยมีการปรับจูนใหม่สำหรับนาวาร่ารุ่นนี้
อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันที่ผมทำได้ในการขับทดสอลอยู่ 2-3 วันตามจอแสดงผลแบบดิจิตอลก็คือ 12.9 กิโลเมตรต่อลิตร ถามว่าดีไหม ก็ดีเมื่อเทียบกับรถกระบะอีกคันที่ผมใช้งานประจำแต่มีเครื่องยนต์ที่ใหญ่กว่านี้ แต่ถ้าอยากเห็นตัวเลขดีกว่านี้ก็คงต้องคุมรูปแบบการขับขี่ให้สมูทขึ้นกว่าเดิม
ได้มีโอกาสเอารถลงไปลุยในที่ขรุขระพื้นผิวดิน ๆ ป่า ๆ เล็ก ๆ ห้องโดยสารของนาวาร่าที่เน้นความนุ่มสบายนั้นก็ยังไม่ได้แตกต่างจากเดิมเท่าไรนัก มีความรู้สึกว่านุ่มเงียบขึ้นอีกนิดในยามที่ลากผ่านพื้นดินยาว ๆ แต่เอาไว้ขอยืมรถไปลุยป่าอีกรอบ ค่อยทดสอบสมรรถนะออฟโรดอีกทีก็แล้วกัน
รายละเอียดทางเทคนิค Nissan Navara Vl |
เครื่องยนต์ |
ดีเซล YS23DDTT |
ความจุ |
2,298 ซีซี. |
กำลังสูงสุด |
190 แรงม้า |
แรงบิดสูงสุด |
450 นิวตันเมตร |
ระบบส่งกำลัง |
อัตโนมัติ 7 สปีด |
ระบบเบรก |
หน้าดิสก์-หลังดรัม |
ถังน้ำมัน |
80 ลิตร |
ความปลอดภัยที่ขอท้าชน Ford Ranger และ Toyota Hilux REVO
ถ้า Ford Ranger (ฟอร์ด เรนเจอร์) คือผู้นำด้านระบบความปลอดภัยในรถกระบะในประเทศไทย และมีผู้ที่เดินหน้าตามไปติด ๆ ในการปรับโฉมครั้งล่าสุดอย่าง Toyota Hilux REVO (โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่) การเพิ่มระบบความปลอดภัยของ Nissan Navara ครั้งนี้ก็เพื่อท้าชิงในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
นาวาร่านั้นเป็นหนึ่งในผู้นำด้านความปลอดภัยสำหรับรถกระบะเหมือนกัน พวกเขาทำการติดตั้งระบบกล้อง 360 องศามาให้ตั้งแต่รุ่นก่อนหน้านี้ พร้อมด้วยระบบเทคโนโลยีมากมายที่มาในนิสสัน เทอร์ร่า จนกระทั่งเมื่อมีการปรับโฉม รุ่นท็อป ๆ ของนาวาร่าก็ได้รับการถ่ายทอดมาทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง ประกอบด้วย คู่หน้า ด้านข้างและม่านข้างซ้ายขวารวมถึงบริเวณหัวเข่าของผู้ขับขี่ ระบบกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง ทำงานควบคู่กับเทคโนโลยีเตือนวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน ช้กล้อง 4 ตัวเพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นภาพวัตถุโดยรอบตัวรถ
มาพร้อมระบบจอมอนิเตอร์ระบบ Off-Road Meter ที่ช่วยให้เห็นอุปสรรครอบคันขณะขับขี่ในโหมดการขับเคลื่อน 4 ล้อที่จะทำงานอัตโนมัติในโหมด 4L รวมถึงระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวและป้องกันการลื่นไถล ในโหมดขับเคลื่อน 4 ล้อ และระบบควบคุมเสถียรภาพของรถขณะลากจูง
นอกจากนี้ นาวาร่าตัวท็อป ๆ ยังมาพร้อมระบบเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนอัจฉริยะ พร้อมระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ เพื่อลดความรุนแรง หรือ ลดความเสียหายที่จะเกิดจากอุบัติเหตุ และเทคโนโลยีป้องกันการชนจากจุดอับสายตาอัจฉริยะ ทำงานร่วมกับเทคโนโลยีเตือนจุดอับสายตา
ระบบเตือนคนขับอัจฉริยะ แจ้งเตือนให้ผู้ขับขี่หยุดพัก ทำงานร่วมกับระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเส้นทาง และระบบควบคุมรถเมื่อออกนอกช่องทางอัจฉริยะ รวมไปถึงระบบตรวจจับวัตถุด้านหลังขณะถอย ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน และระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน
เอาเป็นว่าใครที่ไม่เคยชินกับการขับรถที่มีการเตือนระบบต่าง ๆ มาก ๆ อาจจะถึงขั้นรำคาญได้กับรถคันนี้ เพราะระบบเตือนเก่งมาก เมื่อมาเจอท้องถนนเมืองไทย แถมบางช่วงก็อาจจะงงงงได้ อย่างตอนที่ผมขับตัว ILI นั้นไม่ทำงานเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะถนนที่เส้นแบ่งไม่ชัดเจนหรือเปล่านะ
ปรับมาดีขึ้นทุกอย่าง แต่อาจจะช้าไปหน่อย
ไม่อาจจะปฏิเสธได้เลยว่าการปรับตัวครั้งนี้ของ Nissan Navara ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่หนักหน่วง มหาศาล และเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ต้องการจะอัพเกรดตัวเองขึ้นไปอีกขั้น ไม่ว่าจะเป็นตัว VL ที่เราเอาทดสอบ หรือเจ้า Pro4X ที่มาพร้อมชุดแต่งดุดันที่จะเอามาทดลองกันในอนาคต
การปรับเปลี่ยนรถยนต์ขวัญใจตลาดใช้งานหนักมาให้ท้าทายกับตลาดคนที่ต้องการใช้งานรถกระบะในชีวิตประจำวันหรือตลาดไลฟ์สไตล์ ที่กลายเป็นตลาดที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จึงกลายเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทีมงานของนิสสันต้องทำงานหนัก และผลงานที่ออกมาก็ถือว่าไม่ได้เลวร้ายแล้วในรุ่นนี้
นิสสัน นาวาร่า วีแอล เจ้าของค่าตัว 1.129 ล้านบาท น่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับลูกค้าที่มีความสามารถในการซื้อรถกระบะราคาเกิน 1 ล้านบาท ซึ่งในปัจจุบันเป็นตลาดที่กำลังขยายตัว เพราะกลุ่มลูกค้าที่อยากได้รถที่ได้ทั้งขนคนละขนของ ต่างก็ต้องใช้รถกระบะดับเบิลแค็บทั้งสิ้น
การเลือกใช้เครื่องยนต์ใหม่ ๆ เข้ามาเพื่อแก้ปัญหาเรื่องการตอบสนองในการขับขี่ ทำให้พวกเขาได้รถกระบะที่ให้การตอบสนองที่ความเร็วต้นและกลางที่ดี สามารถลากรอบพารถมุดไปบนท้องถนนได้อย่างสนุกสนาน เว้นแต่ย่านความเร็วสูงก็อาจจะหมด ๆ เร็วกว่าคู่แข่งนิดหน่อย
อุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการใช้งานให้มาอย่างเต็มที่ ทั้งการตอบสนองด้านการใช้งานเพื่อทดแทนรถยนต์นั่ง หรือการตอบสนองความต้องการในการบรรทุกแบกขน เรียกว่าให้มาแบบไม่ต้องไปตกแต่งอะไรเพิ่ม ใส่แค่ไลน์เนอร์ชุดเดียวก็เอาอยู่สำหรับรถกระบะรุ่นใหม่คันนี้
ด้านความปลอดภัยนั้น เอาจริง ๆ ระบบที่ให้มานั้นเหนือชั้นกว่ารถบางคันของค่ายเสียด้วยซ้ำ แถมเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับคู่แข่งมากหน้าหลายตาก็ถือว่าโดดเด่นไม่แพ้กัน และจุดขายอย่างกล้อง 360 องศาที่มาพร้อมฟังชั่นส์มากมาย รวมถึงความปลอดภัยอื่น ๆ ที่ให้มาอย่างเหนือชั้นก็เป็นเรื่องที่ดี
ปัญหาก็คือ ในขณะที่นิสสันเองเร่งเครื่องตัวเองมานั้น กลับเป็นช่วงที่คู่แข่งรอบด้านต่างอัพเกรดตัวเองขึ้นไปอีกรอบ คนที่แข่งกันที่เครื่องยนต์ระดับสูงสุดก็กดดันไปมากกว่า 200 แรงม้า มี 500 นิวตันเมตรมาให้เห็น ส่วนเจ้า 190 แรงม้า 450 นิวตันเมตรกลับกลายเป็นมาตรฐานธรรมดาไปอย่างน่าตกใจ
เช็คฟอร์มของคู่แข่งกันแล้ว ไม่ต้องไปคิดว่าจะไปแย่งชิงอะไรกับเจ้าตลาดเบอร์ 1 เบอร์ 2 เขาเลย มองกันที่ตลาดเบอร์ 3-6 กัน ในภาพรวมของตัวรถ สมรรถนะ เทคโนโลยี ทั้งหมดนั้น ไม่มีอะไรที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ จะมีก็ไทรทันที่ยังเป็นเครื่อง 181 แรงม้า 430 นิวตันเมตรเท่านั้นล่ะ
ด้านภาพลักษณ์ของแบรนด์นั้นก็ไม่ได้มีอะไรที่โดดเด่นออกมา อันนี้เป็นโจทย์ที่ทีมงานนิสสันต้องออกไปคิดเป็นการบ้าน ว่าทำรถออกมาขนาดนี้แล้ว จะทำยังไงให้สามารถฟาดฟันกับคู่แข่งได้อย่างสมน้ำสมเนื้อด้วย เพราะเอาจริง ๆ ถ้ายอดขายไม่กระเตื้องขึ้นอีกก็ต้องถือว่าน่าเสียดายพอสมควร
ล่าสุดเห็นดีลเลอร์จัดโปรหนักอีกแล้ว ใครลังเลอยากได้นี่ช่วงเวลาที่ดีเลยนะ...
THE RIVALS
Ford Ranger 2.0L Bi-Turbo Wildtrak 4x4 10AT ค่าตัว 1.265 ล้านบาท
รุ่นท็อปสุดของกระบะยี่ห้อ Ford (ฟอร์ด) ที่มาพร้อมการเปลี่ยนแปลงมากมายในการปรับโฉมครั้งล่าสุดในช่วงปีที่ผ่านมา ด้วยการติดตั้งอุปกรณ์เข้าไปมากมาย ทั้งเพื่อเน้นความสวยงามและการใช้งานได้จริง โดยมีจุดเด่นที่ชุดแต่งสีดำรอบคัน และฝาท้ายปิดกระบะที่สามารถเปิด-ปิดด้วยรีโมทไฟฟ้า
เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ที่ให้กำลังสูงสุด 213 แรงม้า พร้อมด้วยแรงบิด 500 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ได้รับการปรับปรุงซีลหน้าเครื่องให้มิดชิด เฟืองปั้มเกียร์ที่แข็งแรง ผนังลูกสูบที่เรียบลื่นขึ้น และทอร์คคอนเวิร์ตเตอร์ที่แน่นหนากว่าเดิมเพื่อลดปัญหาของเครื่องยนต์
ผู้นำด้านระบบความปลอดภัยในรถกระบะของประเทศไทยมาอย่างยาวนาน และอดีตเจ้าของตำแหน่งรถกระบะที่แพงที่สุดในประเทศไทยหลายสมัย ตัวรถนั้นไม่เคยมีข้อสงสัย แถมยังได้สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าด้วยการยืดระยะเวลาการรับประกันออกไปอีก ทำอย่างนี้น่าจะทำให้มียอดขายเพิ่มขึ้น
Mitsubishi Triton ATHLETE 2.4 GT Premium 4WD 6AT ค่าตัว 1.156 ล้านบาท
หลาย ๆ คนอาจจะมองว่าการที่ใช้เครื่องยนต์ 2.4 ลิตรที่มีตัวเลขสมรรถนะต่ำสุดอาจจะเป็นปัญหาในการทำตลาดของค่าย Mitsubishi (มิตซูชิบิ) แต่เอาเข้าจริง ๆ มีอยู่หลายเดือนเหมือนกันที่พวกเขาสามารถพลิกแย่งชิงอันดับ 3 ทางด้านยอดจำหน่ายของรถกระบะในประเทศไทยได้อย่างสนุกสนาน
ส่วนหนึ่งเพราะฐานลูกค้าของไทรทันนั้นยังพอมีอยู่ และอีกส่วนก็คึอตัวรถของมิตซูบิชินั้นใช้งานง่าย ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรวุ่นวาย แม้เครื่องยนต์ 2.4 ลิตรที่ติดตั้งมาให้ จะให้สมรรถนะสูงสุดแค่ 181 แรงม้า พร้อมด้วยแรงบิดสูงสุดเพียงแค่ 430 นิวตันเมตรเท่านั้น แต่ที่เคยลองขับมาก็ถือว่าไม่เลวร้าย
ระบบความปลอดภัยในรูปแบบของมิตซูบิชิ ที่ให้มาทั้งกล้องมองรอบทิศทาง ระบบตัดการทำงานของเครื่องยนต์เมื่อเหยียบคันเร่งพลาด ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง ระบบเตือนรอบคันรถที่ช่วยเหลือผู้ขับขี่อย่างเต็มที่ เรียกว่าพอจะมาชดเชยกำลังของเครื่องยนต์ที่อาจจะดูน้อยไปหน่อยได้อย่างเนียนตา
Mazda BT-50 Double Cab 3.0 SP AT 4×4 เจ้าของค่าตัว 1.153 ล้านบาท
Mazda (มาสด้า) นั้นพกพาความมั่นใจมาว่าพวกเขาหวังยอดขายรถปิกอัพรุ่นใหม่ในปีแรกถึง 1.5 หมื่นคัน น่าจะเพียงพอที่จะทำให้พวกเขายึดอันดับ 4 อย่างเหนียวแน่น และจะเป็นรากฐานที่สำคัญที่ทำให้พวกเขาสามารถก้าวกระโดดขึ้นไปเป็นเจ้าตลาดอันดับที่ 3 ในประเทศไทยได้ในอนาคต
ด้วยความเชื่อมั่นว่าการร่วมมือกับพันธมิตรใหม่อย่าง Isuzu (อีซูซุ) ที่ยอมให้ใช้พื้นฐานรถปิกอัพยอดนิยมอย่าง Isuzu D-Max (อีซูซุ ดี-แมคซ์) มาพัฒนา และแน่นอนว่าก็ต้องใช้เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร เจ้าของกำลังสูงสุด 190 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตรในรุ่นท็อปเช่นเดียวกัน
ออพชั่นอาจจะดูสู้กับคนอื่นได้ยากสักนิด เพราะมาพร้อมถุงลมนิรภัย 6 ใบ มีกล้องมองด้านหลัง พร้อมเซนเซอร์กะระยะมาให้ ระบบช่วยเหลือในการขับขี่มีให้มากมายพอสมควร แต่การออกแบบถือว่ามีความโดดเด่นตั้งแต่แรก น่าจะได้ใจลูกค้ากลุ่มเน้นหล่อไม่เน้นแรง ได้มากพอสมควรเลยล่ะ