AutoFun Thailand ได้จังหวะในการหยิบยืมเอสยูวีคูเป้พลังงานไฟฟ้าคันนี้ออกมาทำการทดลองขับอยู่ 3-4 วัน และพบว่าความลงตัวของรถระหว่างสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม การออกแบบภายนอกและภายในที่หรูหรา และความสะดวกสบายในการโดยสารทั้งเส้นทางถนนและทางทุรกันดารนั้นทำได้อย่างดีเยี่ยม
แน่นอนว่าหลาย ๆ คนคงจะมีคำถามเรื่องการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้ากันอีกมากว่าเหมาะกับตลาดประเทศไทยหรือไม่ หรือควรจะรอกันอีกสักนิด เรื่องสมรรถนะและความน่าใช้งานไม่ติดอะไรเลย แต่เรื่องความพร้อมของแต่ละคนอาจจะต้องประเมินว่า จะใช้รถยนต์ที่ระยะทางระดับไหนต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง
เพราะไม่สนุกแน่นอนถ้าวิ่ง ๆ อยู่แล้วไฟหมด ชาร์จไวยังไงก็คงไม่ทันใจกันหรอก...
ราคา 2020 Audi e-tron Sportback
ราคาจำหน่าย 2020 Audi e-tron Sportback |
รุ่น 55 quattro S line |
5.299 ล้านบาท |
Highlight Audi e-tron Sportback
- ควบคุมรถด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว
- พละกำลังสูงสุด 408 แรงม้า
- แรงบิดสุงสุด 664 นิวตันเมตร
- 0-100 กม./ชม. ใน 5.7 วินาที
- ขับจริง 350-400 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง
ความประทับใจหลังลองขับ Audi e-tron Sportback
แน่นอนว่าอี-ตรอนนั้นไม่ได้เป็นรถที่ขายเยอะแยะในท้องตลาด ยิ่งรุ่นสปอร์ตแบ็คที่ว่ากันว่ามีโควต้าจำนวนจำกัดมากในประเทศไทยยิ่งแล้วใหญ่ ตอนที่เปิดตัวรถเองก็เคยแอบสงสัยว่า การทำรถรูปแบบเอสยูวีขับเคลื่อนสี่ล้อให้มาพร้อมระบบไฟฟ้าเต็มรูปแบบนั้น จะสามารถจัดการบาลานซ์ของรถได้ดีหรอ
เพราะอาวดี้เองขึ้นชื่อลือชาเรื่องการทำรถที่สนุก ขับขี่ได้ดีมาโดยตลอด เมื่อหันมาทำรถยนต์ไฟฟ้าที่เก็บแบตเตอรี่เอาไว้ด้านใต้ท้องรถ ระบบส่งกำลังเปลี่ยนไป และทุกอย่างจะต้องสนับสนุนระบบควอตโตรอันลือชื่อ ซึ่งก็ต้องขอกบอกว่าเรื่องการขับขี่นั้น อาวดี้ทำได้อย่างน่าประทับใจมากกว่าที่คิด
แม้ความเร็วสูงสุดจะอยู่แค่แถว ๆ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และระยะทางวิ่งได้จริงจะไม่ถึง 463 กิโลเมตรตามสเปค แต่มันก็เป็นข้อกำหนดของคนที่ใช้รถไฟฟ้าโดยส่วนใหญ่อยู่แล้ว ถ้าเทียบความสะดวกสบาย ห้องโดยสารโอ่อ่าที่ได้รับของตกแต่งมาจาก Audi Q8 (อาวดี้ คิว8) ก็ถือว่าไม่ธรรมดา
การออกแบบภายนอกที่เรียบหรู แต่ Audi e-tron Sportback ลงตัวกับการใช้งาน
แม้พื้นฐานในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าของอาวดี้รุ่นนี้จะเบสอยู่บนเอสยูวีเล็กของค่ายอย่าง Audi Q3 Sportback (อาวดี้ คิว3 สปอร์ตแบ็ค) แต่ทีมออกแบบก็ได้ทำการพัฒนารูปร่างหน้าตาให้มีความโดดเด่นสวยงามขึ้นตามแบบของรถยนต์ไฟฟ้า ตัดส่วนที่ไม่จำเป็นออกและเพิ่มการออกแบบที่ลงตัว
ในเวอร์ชั่นที่จำหน่ายในประเทศไทยจะมาพร้อมชุดแต่ง S line ที่ทำให้รถดูบึกบึนแข็งแกร่งมากขึ้น ด้านหน้าของรถมาพร้อมกระจังหน้าขนาดใหญ่ พร้อมโลโก้ที่ติดตั้งกล้องด้านหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของกล้องแบบ 360 องศา มาพร้อมไฟหน้าแบบ Matrix LED ที่ส่องสว่างทางไกลได้แบบไม่ง้อไฟตัดหมอก
ล้ออัลลอยที่ให้มาขนาด 21 นิ้วเป็นสีทูโทนตัดกันระหว่างสีดำมันและสีเงิน มาพร้อมยาง Goodyear Eagle F1 ขนาด 265/45 R21 โดดเด่นด้วยคาลิปเปอร์เบรกเป็นสีส้ม รุ่นที่สั่งเข้ามาขายใช้กระจกมองข้างแบบธรรมดา ที่มีไฟเลี้ยวและกล้องมองภาพด้านข้างงติดตั้งมาในชุดกระจกมองข้าง
ด้านบนของตัวรถมาพร้อมแร็คหลังคาขนาดเล็กสีเงิน เสาอากาศแบบครีบฉลามขนาดเล็ก และกระจกหลังคาพาโนรามิกซันรูฟที่พาดยาวมาถึงห้องโดยสารตอนหลัง แต่สามารถเปิดได้เพียงครึ่งคันด้านหน้า ใครซื้อไปใช้ก็เปิดเล่นบ้างนะ เดี๋ยวจะพังเสียเปล่า ๆ ถ้าไม่ได้เปิดใช้งานบ้างเลย
รูปทรงแบบคูเป้ของรถเริ่มลาดเอียงที่หลังตำแหน่งผู้โดยสารตอนหลัง ทำให้ไม่เบียดเบียนเฮดรูมของผู้โดยสารมาก ด้านท้ายมาพร้อมชุดไฟที่พาดยาวไปตามฝากระโปรง ประตูบานหลังเปิดด้วยระบบไฟฟ้าหลายรูปแบบ และรถคันนี้ไม่มีท่อไอเสีย แถมยังมีแผ่นปิดด้านล่างรถแบบลากยาวทั้งคันอีกด้วย
มิติตัวถัง Audi e-tron Sportback |
กว้าง |
1,935 มิลลิเมตร |
ยาว |
4,901 มิลลิเมตร |
สูง |
1,616 มิลลิเมตร |
ระยะฐานล้อ |
2,928 มิลลิเมตร |
ห้องเก็บสัมภาระหน้า |
60 ลิตร |
ห้องเก็บสัมภาระหลัง |
615-1,665 ลิตร |
Audi e-tron Sportback ห้องโดยสารเต็มไปด้วยจอ และการตกแต่งแสนเนี๊ยบ
การตกแต่งห้องโดยสารของอี-ตรอน สปอร์ตแบ็คนั้น โดดเด่นด้วยการเลือกใช้แผงคอนโซลหน้าและอุปกรณ์ตกแต่งที่ได้รับแบ่งมาจากรถเอสยูวีระดับหรูหราของค่าย โดยมีจุดเด่นอยู่ที่หน้าจอแสดงผลและควบคุมขนาดใหญ่ 3 จอที่ด้านหลังพวงมาลัย และตรงกลางคอนโซลที่วางต่อกันอีก 2 จอ
Virtual Cockpit plus คือหน้าจอด้านหน้าผู้ขับขี่ที่ปรับโหมดการแสดงผลได้หลายรูปแบบ และมีโหมดหน้าจอเฉพาะสำหรับรถไฟฟ้าในค่าย ซึ่งจะดูเรียบหรูใช้งานได้แบบไม่หวือหวา ขณะที่หน้าจอกลางจะแสดงผลการใช้งานระบบต่าง ๆ และควบคุมด้วยหน้าจอด้านล่างอีกครั้งหนึ่ง เรียกว่าใช้งานตรงไหนก็ได้
พวงมาลัยแบบท้ายตัด พร้อมด้วยโลโก้ S ที่ด้านล่าง คันเกียร์ที่ดูเหมือนมีขนาดใหญ่นั้น ออกแบบมาเหมือนเป็นที่พักมือมากกว่า และการควบคุมก็ใช้เพียงนิ้วในการเลื่อนตำแหน่งของเกียร์ที่ต้องการ มาพร้อมระบบเบรกมือไฟฟ้า และระบบ Auto brake hold ที่ไม่ต้องไปกดปุ่มอะไรให้เสียเวลาทั้งสิ้น
ไม่ใช่แค่หน้าจอที่ได้รับอิทธิพลมา แต่เบาะที่นั่งของอี-ตรอนก็เลือกใช้เบาะนั่งหุ้มหนัง Valcona แบบ S Sports ตกแต่งแบบไดมอนต์คัท พร้อมสัญลักษณ์ S line ขณะที่เบาะหลังก็มาพร้อมที่วางแขน ปุ่มควบคุมระบบปรับอากาศแบบแยกส่วน และอย่างที่บอกไปก็คือตำแหน่งการนั่งสบายไม่ต่างจากตัวถังปกติ
เครื่องเสียง Bang & Olufsen พร้อมระบบเสียง 3 มิติให้เสียงกระหึ่มทั่วรถ โดยเฉพาะสายฟังเพลงแนวอีซี่หรือโอเปร่าไปเลยน่าจะชอบเครื่องเสียงชุดนี้ รถนั้นมาพร้อมม่านบังแดดสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง และระบบผ่อนแรงเวลาปิดประตูรถ เวลาไปนั่งรถใคร ก็อย่าเผลอกระแทกประตูปิดดังปังละกัน
Audi e-tron Sportback การทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวและแบตเตอรี่ 36 โมดุล
อาวดี้ อี-ตรอน สปอร์ตแบ็ค ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อน 100% ด้วยการเลือกการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวที่แยกการควบคุมที่ด้านหน้าและด้านหลังของรถ โดยการเก็บพลังงานไฟฟ้าจะใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 95 กิโลวัตต์ชั่วโมง ที่ว่ากันว่าวิ่งได้ 463 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง
ตัวเลขที่ว่านั้นดูจะมากไปสักนิดสำหรับการขับขี่จริง ที่แน่นอนว่าผู้ขับขี่โดยทั่วไปนั้นต้องการสมรรถนะและพละกำลังระดับไม่ธรรมดาจากรถคันนี้อยู่แล้ว และหลาย ๆ คนก็คงอยากรู้ด้วยว่าตัวรถนั้นสามารถลากความเร็วไปได้ขนาดไหน เพราะตามสเปกก็ว่าทำความเร็วสูงสุดประมาณ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตำแหน่งให้กำลังรวมสูงสุด 360 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 561 นิวตันเมตร แต่ตัวรถมี boost mode ที่จะเค้นกำลังของรถออกมาเพิ่มเป็น 408 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 664 นิวตันเมตร การส่งกำลังทำผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบจังหวะเดียว และมาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลา
ความดีงามของระบบแบตเตอรี่ของรถคันนี้ก็คือการที่แบตเตอรี่ที่ว่านั้น ถูกวางไว้ที่ตำแหน่งท้องรถแบบ 36 โมดุล ซึ่งนอกจากส่งผลดีในเรื่องของการกระจายน้ำหนักของตัวรถแล้ว ยังสามารถถอดออกมาซ่อมได้เป็นโมดุลในกรณีที่เกิดปัญหา ทำให้ประหยัดกว่าการต้องเปลี่ยนทั้งลูกไปในทีเดียว
0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนั้นทำได้ที่ 6.6 วินาทีในโหมดปกติและ 5.7 วินาทีในบูสต์โหมด ซึ่งจากที่เราลองในโหมดธรรมดาก็อยู่ที่ประมาณ 7 วินาที ถือว่าไม่เลวร้าย และความเร็วสูงสุดที่ว่านั้นก็สามารถทำได้จริง แต่ตัวรถจะไปชะลอตัวเองลงช่วงแถว ๆ 195 กิโลเมตรต่อชั่วโมงไปแล้ว ถ้าลากก็น่าจะไหล ๆ ได้
ความคล่องตัวของการควบคุมรถนั้น ส่วนหนึ่งมาจากพวงมาลัยไฟฟ้าที่ให้การควบคุมที่คมกริบและแม่นยำในทุกย่านความเร็ว แต่ก็มีข้อที่แก้ไม่หายสำหรับรถไฟฟ้าก็คือเสียงมอเตอร์ที่ดังหวีดมากขึ้นตามความเร็วของตัวรถและการเค้นกำลัง ในอี-ตรอนก็ไม่รอดจากปัญหานี้ไปได้เช่นกัน
การชาร์จไฟให้กับรถคันนี้นั้น รองรับทั้งการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรงสูงสุด 150 กิโลวัตต์ พร้อมรองรับกระแสไฟฟ้าสลับขนาด 11 หรือ 22 กิโลวัตต์ โดยจะใช้เวลาตั้งแต่ 30 นาทีจนถึง 9 ชั่วโมง ในการชาร์จที่แตกต่างกันออกไป จากแบตเตอรี่ 0% จนเต็ม เรียกว่าใครติดระบบชาร์จกระแสตรงก็ใช้งานได้สบาย
รายละเอียดเทคนิค Audi e-tron Sportback |
ระบบควบคุม |
มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว |
กำลังสูงสุด |
360 แรงม้า |
กำลังสูงสุด (BM) |
408 แรงม้า |
แรงบิดสูงสุด |
561 นิวตันเมตร |
แรงบิดสูงสุด (BM) |
664 นิวตันเมตร |
0-100 กม./ชม. |
6.6 วินาที |
0-100 กม./ชม. (BM) |
5.7 วินาที |
ความเร็วสงสุด |
200 กม./ชม. |
ระยะขับเคลื่อน |
463 กิโลเมตร |
ระบบส่งกำลัง |
อัตโนมัติ 1 จังหวะ |
ระบบเบรกหน้า/หลัง |
ดิสก์เบรก/ดิสก์เบรก |
ความสบายและความปลอดภัยที่มาเต็มรถ Audi e-tron Sportback
อาวดี้ อี-ตรอน สปอร์ตแบ็คนั้น เป็นรถไฟฟ้าที่ให้สมรรถนะการขับขี่และการตอบสนองที่ดีเยี่ยม ในขณะเดียวกัน ก็เป็นรถยนต์หรูหราระดับพรีเมียมที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ช่วยเหลือด้านการขับขี่ รวมถึงระบบความปลอดภัยมากมายที่ติดตั้งมาให้กับตัวรถ ให้สมกับค่าตัวและสมศักดิ์ศรีของผู้ที่จะเป็นเจ้าของ
ผู้โดยสารตอนหน้าสะดวกสบายด้วยเบาะปรับด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบความจำและระบบอุ่นเบาะร้อน มาพร้อมระบบควบคุมอุณหภูมิก่อนเริ่มการขับขี่ที่เหมาะสมกับบ้านเราเป็นอย่างมาก การควบคุมระบบต่าง ๆ ทำได้ผ่านหน้าจอขนาดใหญ่ พร้อมการเชื่อมต่อทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto อย่างครบครัน
ระบบเชื่อมต่อไร้สายผ่านบลูทูธ พร้อมด้วยช่องเชื่อมต่อยูเอสบีด้านหน้า 2 ตำแหน่งและด้านหลัง 2 ตำแหน่ง ที่สามารถใช้ในการชาร์จไฟให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ของผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้ จุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX ที่ห้องโดยสารตอนหลัง กล้องมองภาพ 360 องศา พร้อมเซนเซอร์กะระยะถอยจอดรอบคัน
ระบบความปลอดภัยเหนือชั้น มาพร้อมกับถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง ที่คู่หน้า ด้านข้างและม่านนิรภัยพร้อมด้วยระบบช่วยเหลือการขับขี่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ระบบกระจายแรงเบรก ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี เพิ่มความอุ่นใจในการขับขี่
และยังสั่งซื้อระบบและอุปกรณ์เหล่านี้เพิ่มได้อีก ประกอบไปด้วยกล้องแสดงภาพด้านข้าง พร้อมหน้าจอแบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตาเมื่อเปลี่ยนเลน ระบบเตรียมพร้อมหากเกิดการชนจากด้านหลัง ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อม เมื่อเปิดประตูลงจากรถและเข้าเกียร์ถอยหลัง
Audi e-tron Sportback น่าใช้งาน แต่ก็ต้องเลือกให้เหมาะสมด้วย
ตลาดรถยนต์ไฟฟ้านั้น มักจะเป็นเรื่องที่ใหม่เกินไปเสมอสำหรับตลาดรถยนต์เกิดใหม่ทั่วโลก และแม้ความต้องการจะเติบโตสูงขึ้นเพียงใด มีผู้ประกอบการพัฒนารถมาเพิ่มขนาดไหน คำถามสุดท้ายที่มักจะเป็นตัวตัดสินก็คือ แล้วในการใช้งานจริงมันจะดีจริงตามที่คุยกันหรือไม่
Audi e-tron Sportback คันนี้ ถือเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่อาวดี้หมายมั่นปั้นมือว่าจะสามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่มีความลังเลให้ออกมาใช้งานรถยนต์กลุ่มนี้กันมากขึ้น ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่น การตอบสนองของรถที่ยอดเยี่ยม อุปกรณ์และฟังชั่นส์ที่ไม่แพ้ใครหน้าไหน ในระดับราคาที่ยังพอเอื้อมถึงได้อยู่
การทดสอบของเราในช่วงเวลาไม่นาน ก็ยังพบปัญหาหลัก ๆ อยู่ที่เรื่องของการใช้งานจริง ซึ่งหากมีระยะการใช้งานไม่เกิน 400 กิโลเมตร และมีที่ชาร์จไฟที่สามารถชาร์จกลับให้เต็มก่อนที่เราจะออกเดินทางอีกครั้งหนึ่งได้ ก็ไม่ใช่ปัญหาของการใช้งานรถคันนี้ ไม่อย่างนั้นก็น่าจะเป็นทางเลือกรถคันที่ 2
นอกจากนี้ อาวดี้ ไทยแลนด์ ยังได้สร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อรถรุ่นนี้ ด้วยการรับประกันคุณภาพตัวรถ 5 ปี หรือ 1.5 แสนกิโลเมตร รับประกันแบตเตอรี่นาน 8 ปี หรือ 1.6 แสนกิโลเมตร พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง เป็นเวลา 5 ปี เรียกว่าพยายามสร้างความเชื่อมั่นจากลูกค้ากันอย่างเต็มพิกัด
คำตอบสุดท้ายว่ารถคันนี้น่าใช้งานหรือไม่ ก็ต้องกลับไปถามความต้องการของเราเองในฐานะลูกค้าว่าต้องการรถยนต์แบบไหน จะใช้งานสบาย ๆ หรือจะต้องมานั่งวางแผนก่อนออกจากบ้านทุกครั้งถ้าหากต้องเดินทางไกล ถ้าไปแล้วชาร์จไฟไม่ได้ล่ะ แพลนบีในการเดินทางคืออะไรหรอ
ถ้าเรื่องพวกนี้ไม่ใช่ปัญหาและมีเงินเหลือ ๆ ก็ลุยได้เลย!!!