**บทความนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัวของเจ้าของ 2020 Nissan Kicks e-POWER VL และไม่จำเป็นต้องสะท้อนถึงมุมมองของ AutoFun
เจ้าของรถ:Lilith Thel
เหตุผลในการซื้อ
หลักๆ คงเป็นไปบอกคนที่บ้านว่า "นี่ๆ วันนี้เข้าศูนย์มา รถอายุ 14 ปีของเราเขาตีค่าซ่อมมาแสนสองล่ะ 555" วันต่อมาเขาก็ขับรถผมไปขาย แบบที่ผมไม่ทันได้ร่ำลาน้อง Toyota Innova ที่เต็มไปด้วยความทรงจำมากมาย รู้ตัวอีกทีก็สิ้นสภาพความเป็น "มนุษย์รถ" เสียแล้วจึงต้องซื้อรถใหม่ครับ
ทีนี้พอมาหาข้อมูลซื้อรถ ก็ต้องตอบโจทย์ตัวเองก่อนว่า "จะซื้อไปใช้อะไรบ้าง" หลังจากพิจารณาแล้วว่า ตอนนี้ไม่ได้ไปไหนมาไหนกัน 5-6 คนแบบแต่ก่อนแล้ว จึงเลือกรถที่เล็กลง แต่ยังขนของได้เยอะๆ ออกต่างจังหวัดสบาย ตอนแรกก็มองพวก PPV เอาไว้ แต่เมียบอกว่าขี้เกียจปีน เลยเอาเล็กลงมาหน่อยจนจบที่ B-SUV
ทำไมถึงเลื่อกรุ่นนี้
ตั้งงบไว้ไม่เกินหนึ่งล้านสี่แสนบาท ก็พิจรณาถึงรุ่นอื่นบ้าง Toyota Cross Mazda cx30 และ Kia grand canivan แต่สุดท้ายจบที่ Nissan Kicks e-POWER รุ่น VL สี Black Stars
ผมอยู่ในครอบครัวใหญ่ที่ทุกคนมีรถ จึงได้ขับรถมาหลายยี่ห้อ หลายเซ็กเม้นต์จึงคิดว่ารถคันไหนก็เหมือนๆ กันหมด แต่ทันทีที่ผมลองขับ Nissan Kicks แล้วพบว่าระบบขับเคลื่อนของมันแตกต่างจากคู่แข่งมาก
การวิ่งด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 100% มันทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นกับการขับขี่ได้อีกครั้งกับแรงบิดที่ทำให้หลังติดเบาะทันทีที่เท้ากดลงบนคันเร่ง ระบบ One-pedel ที่ไม่มีในรถยี่ห้ออื่นที่ถ้าเหยียบคันเร่งรถจะไปข้างหน้า ถอนคันเร่งรถจะจอดนั้น เหมาะกับความรถติดของบ้านเราเป็นอย่างดี เครื่องจริงๆ แค่ 1,200cc นั้นนอกจากจะประหยัดน้ำมันแล้วค่าซ่อมบำรุงก็ถูกมากๆ อีกด้วย
แต่เหนือกว่าเหตุผลทั้งพวงที่กล่าวมาทั้งหมดคือ "ผมสามารถจอดรถเปิดแอร์รอเมียซื้อกับข้าวและรอลูกตอนเลิกเรียนโดยไม่โดนบ่นว่าเหม็นควันรถได้แล้ว" ด้วยโหมด EV ที่เครื่องยนต์แทบจะไม่ทำงาน ประกอบกับแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ที่ไม่ได้เชื่อมกับสายพานรถ 555 ซื้อเพราะข้อนี้จริงๆ
ประสบการณ์การขับขี่
Kicks เป็นรถที่เหมาะกับผมมากจริงๆ คือบุคลิกของรถมันจะแปรเปลี่ยนไปตาม Mode การขับที่เลือก
- ตอนขับคนเดียวด้วยโหมด D เปรียบเสมือนราชสีห์ลำพองขน ด้วยอัตราเร่งจาก 0-100 km/h ไม่ถึง 10 วินาที จาก 100-140 km/h ก็ไปได้สบาย 140-160 km/h มีวืดวาดบ้างเพราะพวงมาลัยค่อนข้างเบาแต่ยังทรงตัวได้ดี คล่องตัว
- ขับไปทำงานด้วยโหมด S หรือ Smart ที่เหมาะกับรถติดมาก ด้วยระบบ one pedel ที่ถ้ากะระยะดีๆ จะแทบไม่ต้องเบรคเลย แต่ยังได้อัตราเร่งแบบรถไฟฟ้าช่วยให้ซอกชอนไปตามช่องว่างของการจราจรได้ดีมากๆ ถ้าพลาดมาก็มีระบบช่วยเบรคไม่ใช่ชนคันหน้ากันเหนียวไว้
- เวลาที่แม่บ้านนั่งข้างๆ เราก็ต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัวเหมือนกวางน้อยด้วยโหมด Eco ที่ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป นิ่มนวลชวนกล่อมให้แม่บ้านหลับ ก่อนจะตื่นขึ้นมาแล้วเราชี้ให้ดูเลขพอหน้าจอ "เป็นไงจ๊ะที่รัก 25-30 กิโลลิตรนี่ประหยัดดีเนอะ บอกแล้วว่าคุ้มที่ซื้อรุ่นนี้"
ข้อดี
- (เน้น) จอดเปิดแอร์ด้วยระบบ E-power ถ้าไม่เกิน 30 นาทีเครื่องจะไม่ติดขึ้นให้ใครบ่นว่าเหม็นควันรถ แถมแอร์เย็นสบายมากจริงๆ
- ได้ฟิลการขับแบบรถไฟฟ้าแท้ๆ แต่ไม่ต้องหาที่ชาร์จไฟ เพราะเติมน้ำมันเอา
- one pedel จะทำให้วันเจอรถติดกลายเป็นเรื่องขำๆ
- ช่วงล่างนุ่มนวลให้ฟิลเหมือนขับรถเก๋ง ไม่ว่าจะนั่งคนเดียว หรือนั่ง 4 คน+ของเต็มท้ายรถก็ตาม
- ระบบความปลอดภัยมีเยอะดีทดสอบการชนได้คะแนนเยอะด้วย
- เป็นรถที่มีทั้งกล้องและเซ็นเซอร์กะระยะรอบคัน ซึ่งผมชอบมากกก เพราะเดี๋ยวนี้พอมีกล้องรอบคันก็จะไม่ใส่เซ็นเซอร์ระยะมาให้
- ประหยัดน้ำมันใช้ได้ ค่าซ่อมบำรุงถูก
- เวลาเจ้าหนี้ถามเราบอกได้ว่า "ครับๆ ซื้อรถเล็กๆ เครื่อง 1,200cc เองครับ"
- ภายในค่อนข้างกว้างกว่าที่เห็นภายนอกพอสมควร
- เติมน้ำมันอะไรก็เหมือนๆ กันเพราะเครื่องเอาไว้ปั่นไฟไม่ได้ขับเคลื่อน E20 ก็วิ่งเร็ว วิ่งไกลเท่า 95
- ในรถเงียบมากจนสับสนบ่อยๆ ว่านี่ติดเครื่องหรือดับเครื่องอยู่
- รู้สึกโดดเด่นบนถนนเพราะตั้งแต่ขับมา ยังไม่เจอ kicks คันอื่นเลยสักคัน
- ได้รถเร็วมาก ตอนไปลองขับคุยกับเซลว่าอยากได้รุ่นท็อบสีดำข้างในส้ม ยังไม่ทันจองน้องไลน์มาบอกว่า "รถพี่จอดรอแล้วนะครับ"
ข้อด้อย
- เวลาใครรู้ว่าซื้อรถรุ่นนี้จะต้องมานั่งอธิบายว่าจริงๆ มันเป็นรถน้ำมัน ไฟฟ้า หรือไฮบริดกันแน่ คำตอบที่ผมชอบตอบคือ "เป็นรถที่เติมน้ำมันใส่เครื่องปั่นไฟมาหมุนมอเตอร์ไฟฟ้า" ที่เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง
- โดนลูกและคนอื่นแซว ว่าเสียงเตือนตอนถอยรถเหมือนเรือดำน้ำปล่อยโซนาร์ จอดเฉยๆ เสียงเหมือนยาวอวกาศ
- รถสวยมากเกินไปจนผมเผลอเล่นมุก "นั่นรถใครน่ะ สวยจัง" ใส่ลูกสาวจนลูกบ่น
- ปุ่มเปลี่ยนโหมดอยู่ในตำแหน่งที่เมียผมชอบเอาโทรศัพท์ไปวางบัง
- กระจกมองหลังแบบหน้าจอที่รับถาพจากกล้องท้ายรถมาฉาย เลยใช้เป็นกระจกส่องตอนหวีผมไม่ได้ แต่จะช่วยได้มากตอนฝนตกหนักๆ หรือบรรทุกของจนเต็มหลังรถก็ยังมองข้างหลังได้ชัดเจน
- ซอกภายนอกเยอะมาก เวลาล้างรถแล้วน้ำตาจะไหลล้วงเข้าไปเช็ดไม่ถึง ถึงงั้นใช้รถมา 2 สัปดาห์ล้างไปแล้ว 5 ครั้งด้วยความเห่อ
- เป็นรถที่ไม่มีฮีทเตอร์ ตอนแรกก็คิดเหมือนทุกคนที่กำลังอ่านนั่นแหละครับ เมืองไทยร้อนตับแตกจะมีฮีทเตอร์เอาไว้ทำไม...หลักๆ คือมันช่วยให้ฝ้าไม่จับกระจก ถ้าคุณขับ Kicks ตอนฝนตกแล้วไม่ได้อ่านคู่มือก่อนจะมีปัญหาเรื่องฝ้ามากเลย (ให้เอา auto ออกแล้วเป่าตัว ปรับแอร์ร้อนสุดไว้)
- ควรติดกล้องบันทึกภาพด้านหลัง เพราะระบบ one-pedel จะทำให้รถมีระยะไหลน้อยกว่ารถปกติ (เพราะมอเตอร์ไฟฟ้าจะหน่วงความเร็วเอากลับไปชาร์จแบตมาก) ถ้าคันหลังเราเป็นพวกชอบขับจี้อาจจะชนท้ายเราได้
สรุป
ตอนซื้อเนี่ย ถ้าใช้สมองคิดผมคงเลือกยี่ห้ออื่นที่ระบบธรรมดาๆ กว่านี้ ศูนย์เยอะกว่านี้ เป็นที่นิยมกว่านี้ แต่บังเอิญว่าตอนซื้อใช้เท้าคิดเลยเลือก Nissan Kicks นี่แหละ ก็แหม เวลาขับรถเราใช้เท้าขับนี่นา
คำว่าใช้เท้าคิดนั้น ผมหมายถึงจุดเด่นของ Nissan Kicks ที่เป็นระบบการขับขี่ที่ไม่เหมือนใคร ทั้งระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า 100% (แต่ไฟฟ้ามาจากเติมน้ำมันปั่นเอา) One pedel ที่ช่วยให้รถติดกลายเป็นเรื่องบันเทิงครับ
แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องอื่นก็ไม่น้อยหน้านะครับ คือตั้งแต่ใช้มา 2 สัปดาห์ ผมทำอะไรหลายอย่างมากทั้ง ออกต่างจังหวัด บรรทุกของไปขาย ขับรถติดๆ ในเมือง ลุยน้ำท่วมขังรอการระบาย น้อง Kicks ก็ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ อย่างที่รถ SUV ทุกคันสามารถทำได้ด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ทั้งนั้น น้อง Kicks อาจจะไม่ใหญ่โตเท่ายี่ห้อโน้น ไม่ได้ถูกเท่ายี่ห้อนั้น ไม่ได้หรูหราเท่ายี่ห้อนู้น แต่ก็มีทุกอย่างเพียงพอกับการใช้งาน ทว่ากลับโดดเด่นกว่าใครด้วยระบบ E-power ที่ไม่มีใครเหมือนครับ ถ้าใครสนใจ B-Suv ยังไงไปลองขับน้องเขาดูสักรอบนะครับ