วัตถุประสงค์ในการซื้อ
เริ่มจากการจะซื้อรถทั้งที เราก็คงต้องมีวัตถุประสงค์ในการซื้อหรือความจำเป็นหลักอาทิเช่น
ซื้อ เพื่อขยับขยาย หรือรองรับจำนวนคนในครอบครัวที่เพิ่ม
ซื้อ เพื่อเปลี่ยนจากคันเดิมที่อายุการใช้งานนานแล้ว
ซื้อ เพื่อสมาชิกในครอบครัวที่ท่านรักได้ใช้
อื่นๆอีกมากมายหลายเหตุผล ในส่วนเพื่อนๆบางคนอาจจะบอกว่า ซื้อ ...เพื่อตามอารมณ์ความอยากได้ล้วนๆ เรียกได้ว่า สนอง Need กันอย่างเดียว อันนี้ก็คงไม่ผิด ถ้าทุนทรัพย์เหลืออะนะ
สำหรับผมวัตถุประสงค์หลักๆในการซื้อรถใหม่จะมีอยู่สองเรื่อง
1.ผมต้องการรถมาใช้งานเป็นคันที่สอง เพื่อความสะดวกในการเดินทางไกลหรือไปทำงาน และเพื่อสามารถแบ่งคันกับแฟนได้เวลาจำเป็นหรือฉุกเฉิน
2.รถต้องมีพื้นที่ขนสัมภาระให้ผมได้เพียงพอ ในการนำสินค้าไปขายบ้างตามสมควร และสะดวกในการใช้ขับเที่ยวแบบ Trip เป็นครอบครัวในอนาคต
ซึ่งแน่นอนว่ารถที่ผมจะตัดสินใจซื้อ จำเป็นต้องตอบโจทย์ความจำเป็นสองข้อนี้ได้ หรืออย่างน้อยต้องมีข้อดีมากที่สุด ถ้าเทียบกับในบรรดาตัวเลือกที่อยู่ในงบที่ผมรับได้ เริ่มต้นด้วยผมไปดูตัวดูรถจริงของหลายๆค่ายที่โชว์รูม ซึ่งถ้าสนใจคันไหนก็จะขอทำการนัด Test Drive หลังเวลาผ่านไป 1-2 เดือน จากการที่ได้ไปดูของจริงบ้าง ได้ลองขับบ้าง ตามโอกาสอันสมควร จนในที่สุดก็มาสนใจจริงจังกับเจ้า " MG HS X 2020 " คันนี้
ถ้าถามว่ารถรุ่นนี้ตอบโจทย์ความจำเป็นของผมมั้ย อาจจะมีตัวเลือกตัวที่ Size ที่เล็กกว่านี้ และ Save งบไปอีกได้ หลายตัวที่อยู่ในงบประมาณที่ไกล้กันหรือต่ำกว่า แต่เมื่อมีโอกาสไปลองสัมผัสภายในของเจ้าตัว MG HS X ตัวนี้แล้วก็ต้องยอมรับว่า ได้ใจผมกับแฟนไปพอสมควร
จุดเด่น
ถ้าให้เล่าถึงจุดเด่นสำหรับตัว MG HS X ที่ผมชอบตอนที่ไปดูรถครั้งแรก ( แต่ยังไม่ได้ทดลองขับ ) ก็จะมีหลักๆดังนี้
1.ขนาดของ Dimention ตัวรถที่อยู่ใน Class C-SUV ( ขนาดของตัวรถ และมิติตัวรถอยู่ในระดับของ CR-V , Mazda CX5 , Nissan X-Trail )
2.ด้านหลังตัวรถที่ออกแบบมาได้ สวยงาม มีมิติและเว้าโค้ง บนความใหญ่ของตัวรถที่ค่อนข้างลงตัว
3.ภายใน สำหรับผมรุ่นนี้มีภายในที่โดดเด่นเอามากๆ ครั้งแรกที่เห็นภายใน คือผมแอบอุทานในใจเลยนะ เห้ย ... ทำภายในมาให้ขนาดนี้เลยหรอ วัสดุที่ใช้รู้สึกถึงความต่างกับ MG ตัวอื่นๆที่เคยเห็นก่อนหน้านี้ครับ วัสดุเป็น Soft Touch มีกลิ่นอายแบบ Sport ทำมาในโทนสีแดง ภายในเดินตะเข็บ ดีไซน์และระบบไฟต่างๆที่สวยงามชวนหลงไหลได้แบบไม่ยากครับ
4.ตัว Panoramic Sunroof ที่มีความใหญ่โตมากๆ เรียกได้ว่ายาวเต็มไปถึงฝั่งคนนั่งด้านหลัง ถ้าได้เปิดตอนอากาศดีๆ ฟินทั้งเด็กและผู้ใหญ่กันเลยทีเดียว
นี่คือจุดเด่นหลักๆของเจ้า MG HS X ที่ผมสัมผัสได้ในครั้งแรก แน่นอนมีข้อดีก็ต้องมีข้อเสียครับ ในส่วน Brand MG นั้น สิ่งที่ยังค้างคาใจผม หรือเพื่อนๆอีกหลายๆคนน่าจะเหมือนกันเช่น
1.บริการหลังการขาย และคุณภาพอะไหล่ที่ยังเป็นคำถาม
2.ประสบการณ์ของช่างประจำศูนย์บริการ ( เนื่องจากเป็น Brand ที่ทำตลาดเมืองไทยถือว่ายังไม่นานเท่าไหร่ )
3.จำนวนศูนย์บริการที่มีเพียงพอไกล้บ้าน
ความรู้สึกระหว่างTest Drive
แต่ในเมื่อผมถูกใจรูปลักษณ์ของเจ้ารถคันนี้ไปซะแล้ว เรื่องในอนาคตเลยถูกมองข้ามไปก่อน ในที่สุดผมก็ตัดสินใจไป Test Drive ตัวรถอีกครั้งนึง ซึ่งในครั้งนี้ผมมีโอกาสได้ขับและ Focus ในการเทสระบบแบบจริงจัง ผมทดลองระบบอะไรหลายๆอย่าง ทั้งเรื่องระบบความปลอดภัยและส่วนที่เป็น Technology อำนวยความสะดวก ซึ่งต้องบอกว่าเจ้าตัว MG HS X ให้มาแบบ "จัดเต็ม ไม่มีกั๊ก" ส่วนตัว ระบบที่ผมลองแล้วชอบมากๆ จะมีอยู่ 3 ตัวด้วยกัน ขอยกตัวอย่างแยกพร้อมอธิบายเพิ่มดังนี้
Adaptive Cruise Control:
เจ้าระบบตัวนี้สามารถช่วยผู้ขับปรับความเร็วการขับเคลื่อนและเบรคเองอัตโนมัติโดยที่เท้าไม่ต้องเหยียบคันเร่งครับ ซึ่งจริงๆหลายตัวในราคาประมาณนี้ก็มี แต่ในจ้าตัว MG HS X ตัวนี้สามารถเบรคได้จนถึงจุดที่รถหยุดนิ่งที่ความเร็ว 0 เลย ซึ่งจำเป็นต้องฝึกใช้งานให้เชี่ยวชาญและเลือกใช้ในความเร็วที่เหมาะสมนะครับ ไม่งั้นอาจมีเบรกหัวทิ่มกันได้
Ambient Light System:
ไฟห้องโดยสารที่สามารถปรับสีได้หลากหลายตามใจเรา เลือกตั้งค่าได้หลายโหมด เมื่อขับกลางคืนมันจะสวยดีงามมากมายเลยครับสำหรับเจ้าตัวนี้
iSmart:
ระบบ Application ที่เราสามารถใช้ดูรายละเอียดต่างๆของรถ เช่นเช็คตำแหน่ง หรือสั่ง Start เครื่องยนต์ได้ และที่ผมชอบจริงๆคือ หากเราต้องจอดรถทิ้งไว้ที่ร้อนๆ หรือกลางแจ้ง เราสามารถกดรีโมทที่กุญแจรถให้ประตูทุกบานรวมไปถึง Sunroof ระบายอากาศเปิดออก หลังจากนั้นให้เราสั่งงานผ่าน Application iSmart เพื่อให้ระบบทำการสตาร์ทรถยนต์และเปิดแอร์รอไปก่อนได้เลย เรียกว่าพอรถพร้อมให้เราเข้าไปนั่ง อากาศภายในก็จะเย็นชื่นใจไปเรียบร้อยแล้วตรงนี้คือ "โคตรดี " แต่ต้องบอกว่าตอนเทสผมเองยังงงๆ กับระบบสั่งด้วยเสียงในตัวรถอยู่บ้าง เข้าใจว่าระบบจะฟังคำสั่งเสียงในแบบที่ถูกต้องเท่านั้น ซึ่งตอนที่ผมเทสทำได้แค่ลองสั่ง เปิด Sunroof ด้วยเสียงได้แค่นั่นครับ คำสั่งอย่างอื่นเจ้าหน้าที่เองก็สามารถให้คำตอบผมได้
นอกเหนือจากระบบที่ผมชอบหลักๆ ที่เหลือก็เป็นรายละเอียดปลีกย่อย ที่จัดว่า MG HS X ทำมาเพื่ออำนวยความสะดวกได้ดีในค่าตัวประมาณนี้เช่น
- กระโปรงท้ายระบบไฟฟ้า ที่กดสั่งเปิดจากในรถได้เลย
- เบาะตอนหน้าทั้งสองเบาะ ปรับเป็นแบบไฟฟ้าทั้งหมด
- เบาะผู้โดยสารตอนหลังที่ปรับสองระดับ และพับเก็บลงในแนวราบได้สุด เวลาต้องการขนของแบบเต็มสูบ
- ช่องแอร์แยก สำหรับที่นั่งผู้โดยสารตอนหลัง , USB ช่องชาร์จไฟสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
หลังจาก Test Drive รถจนเป็นที่พอใจ ผมประเมินชั่งน้ำหนักความคุ้มค่า ข้อดีข้อเสีย เทียบกันกับคู่แข่งไปมาในหัวอยู่พักใหญ่ๆ จนในที่สุดผมก็ตัดสินใจจองเจ้า MG HS X เอาไว้ โดยมีส่วนลดที่ทาง Sales ให้มาคือซับเงินดาวน์ไปประมาณ 99,000 บาท จากราคาค่าตัวเต็ม 1,119,000บาท ซึ่งก็ต้องบอกว่าผมเองทราบดีว่าเป็น "กลยุทธ์" ของการทำการตลาดล้วนๆ ทั้งๆที่เราทราบมันก็ยังได้ผลกับผู้ซื้ออยู่ดีนั่นเหละ สรุปวันออกรถผมเตรียมเงินจ่ายไปเพียง 15,000 และมาจ่ายอีก 5000 สำหรับของแต่งที่นัดให้มาทำตามหลังที่บ้านครับ เป็นอันจบ
แต่ทั้งนี้ไม่ไช่ว่าทุกอย่างจะดูดีไปหมด สิ่งที่ผมแอบรู้สึกได้ว่า MG ยังต้องปรับปรุงเร่งด่วนเลยคือความเป็นมืออาชีพและความรู้ของบุคลากรภายใน ( ไม่ได้เหมารวม แต่รู้สึกได้ ) มาตรฐานของการบริการแต่ละสาขาที่มีความต่างกันค่อนข้างมาก ( เจอดีก็ดีไป ถ้าเจอแย่นี่เสียอารมณ์ครับ )
ความรู้สึกหลังได้รับรถและการใช้งานจริง
ต้องบอกว่าเมื่อเราเปลี่ยนรถที่ขับประจำ ก็จะต้องใช้เวลากันสักพักเลยละครับ กับการมาปรับความเคยชินการนั่ง แรงเหยียบ ระยะเบรก การใช้ระบบต่างๆของตัวรถอื่นๆ เพื่อเราใช้มันได้คุ้มค่ากับค่าตัวที่จ่ายไปมากที่สุด ซึ่งในส่วนนี้ที่ผมได้มีโอกาส Test วัดผลอัตราอัตราการสิ้นเปลืองจริง จากการใช้งานช่วงสัปดาห์แรก มาแชร์กันสำหรับ MG HS X ในการเทสผมใช้นำมัน E20 ผลจะเป็นดังนี้
1.อัตราการสิ้นเปลืองใช้งานในเมือง ( สภาวะรถติด )
ผมใช้จริงเฉลี่ยอยู่ราวๆ 10L/100 KM = 10 กิโลเมตร ต่อลิตร ซึ่งจัดว่าบริโภคน้ำมันดุเอาเรื่องเลยครับสำหรับคนที่ใช้ในเมืองเป็นหลัก
2.อัตราการสิ้นเปลืองใช้ ชานเมือง หรือต่างจังหวัด
ผมใช้จริงเฉลี่ยอยู่ราวๆ 6.4 L/100 KM = 15.6 กิโลเมตร ต่อลิตร ซึ่งส่วนตัว สำหรับเรตนี้ของชานเมืองและต่างจังหวัดผมถือว่าพอรับได้อยู่ครับ
การดูแลรักษาและการเตรียมตัวในอนาคต
รถใหม่จะมีประกันให้เราตามระยะทางหรือระยะเวลา แล้วแต่ว่าหน่วยใดมาถึงก่อนกัน สำหรับ MG HS X คือระยะทาง 120,000 กิโลเมตร หรือระยะเวลาหรือ 4 ปี เป็นต้น ส่วนศูนย์บริการนั้นเราสามารถเข้าใช้บริการกับศูนย์บริการ MG ได้ทุกที่ที่ไกล้บ้าน และมีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินเวลารถมีปัญหา หรือ ช่วยเติมน้ำมันให้ฉุกเฉินกรณีน้ำมันหมดได้ด้วย อีก 1 ครั้งต่อปี ซึ่งเหล่านี้ เราควรต้องรู้ช่องทางติดต่อเอาไว้ครับ แนะนำจดในคู่มือรถให้หมดครับ ถึงผมจะไม่อยากใช้บริการมันสักเท่าไหร่ก็ตาม
ส่วนการเตรียมตัวของผมในอนาคต สำหรับ ค่าย MG ซึ่งต้องยอมรับว่ายังถูกตั้งข้อสงสัยจากกลุ่มผู้ใช้รถส่วนใหญ่ในเมืองไทย ที่อาจจะยังไม่มั่นใจในองค์ประกอบหลายๆอย่าง ตัวผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เราเองจึงต้องมาทำการบ้านและหาข้อมูลต่างๆให้มากยิ่งขึ้น สำหรับเตรียมตัวหรือไว้เป็นกรณีศึกษาของเรา ซึ่งจนถึงตรงนี้ต้องบอกว่า มันก็มีข้อดีที่คาดไม่ถึงอยู่เหมือนกันครับ คือตอนนี้ตัวผมเองกลับกลายเป็นคนที่สนใจศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องรถและระบบรถมากกว่าเดิม ( มากๆ )เปลี่ยนจากตอนที่เราไม่เคยใช้ Brand MG มาก่อนเลยนะครับ ซึ่งมันทำให้เราพอจะมั่นใจได้ว่า ถ้าเราเจอปัญหาอะไรต่างๆที่คาดไม่ถึงในอนาคต เราก็จะมีแนวทางแก้ไขมันได้ การใช้ Brand ที่ไม่ไช่รถตลาด มันทำให้เราจะมัวไปรอช่างหรือ Sales อย่างเดียวไม่ได้อีกต่อไปครับ เพราะผมกล้าพูดได้เลยว่า Sales MG หรือแม้แต่ช่างเทคนิคเองก็ตาม
สำหรับปัญหาจุกจิกบางอย่างหรือเทคนิคการใช้งาน หรือระบบของตัวรถที่เรานึกว่าแบบนี้มันมีปัญหาหรือป่าวนะ เหล่านี้อาจจะแก้ไขได้เองเลยโดยเหล่า User ที่มีประสบการณ์ หรือการให้ข้อมูลที่มีประโยชน์กันในกลุ่ม Club คนใช้รถจริง ในหลายๆปัญหาที่พบ ถ้ามันไม่ไช่ปัญหาที่ใหญ่โต ก็จะสามารถจบปัญหาได้ไวมากๆเลย สิ่งนี้มันเหมือนทำให้เรามี awareness หรือการตระหนักรู้ในการใช้งานรถของเราอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสำหรับผมมันกลายเป็นเรื่องดีไปเลยครับ
สรุป
สำหรับการรีวิวการซื้อรถ MG HS X ของผมในครั้งนี้ โดยรวมเป็นแล้วเป็นประสบการณ์ที่ดีครับ จึงขอสรุปให้เพื่อนๆเอาไว้ดังนี้
MG HS X เป็นรถสำหรับคนที่ชอบความคุ้มค่ากับขนาดของตัวรถ และได้ความสะดวกสบายที่มากกว่าในงบประมาณที่พอๆกัน ชอบความสวยงามของวัสดุภายใน และได้ฟังชันท์เสริมเพิ่มเข้ามาหลายๆอย่าง เทคโนโลยีที่มากับความระบบความปลอดภัยที่จัดเต็มให้ โดยที่รถ Brand ตลาดโดยทั่วๆไปในราคานี้ ยังไม่สามารถ "ปล่อยของ"ออกมาให้คุณได้ ซึ่งสิ่งที่คุณต้องแลกมาก็คือ การเตรียมตัวที่มากขึ้นกว่าการเลือกใช้รถ Brand ที่อยู่ในตลาดเมืองไทยมาก่อนแล้ว
ความจำเป็นที่คุณควรจะต้องหาความรู้ ( Khow how ) ที่มากขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาจุกจิกบางชนิดถ้าพบเจอ หรืออาศัยความเชี่ยวชาญของ User ด้วยกันแก้ปัญหาแทนบ้าง ความเป็นมืออาชีพของเหล่าบุคลากรและช่างที่ศูนย์บริการของ MG ซึ่งยังคงต้องตั้งเป็นคำถามอยู่สำหรับบางสาขา รวมถึงหากคุณเป็นคนที่ชอบขายรถและเปลี่ยนรถใหม่อยู่บ่อยๆแล้วละก็ MG คงจะไม่ตอบโจทย์ เมื่อคุณต้องการราคาขายต่อที่ดีที่สุดในตลาดรถปัจจุบัน
ถึงแม้ว่าตัว MG HS จะมียอดขายอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมากๆในช่วงปลายปี 2019 และ 2020 แต่ก็ยังต้องมาลุ้นความสำเร็จในระยะยาวของ Brand MG ซึ่งจะมีผลกระทบกับราคาไปอีกพอสมควร ทั้งหมดทั้งสิ้นที่ผมรีวิวมา ในที่สุดก็อยู่ที่ตัวเพื่อนๆแล้วละครับ ขอเพียงให้เรามีความรักในตัวรถและพร้อมที่จะเข้าใจและดูแลรักษารถที่เราเลือก
เลือกรถที่ถูกใจกับตัวคุณ ไม่ว่าจะเป็น Brandใด ถ้ามาอยู่กับเราแล้วตอบโจทย์ชีวิตเราได้ ขับแล้วมีความสบายใจก็เพียงพอแล้วครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการใช้รถ และอย่าลืมมีน้ำใจให้กันบนท้องถนนด้วยนะครับ ++ แล้วเจอกัน See yaa ครับ