Mitsubishi Motors Corporation (มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น) ประกาศแผนธุรกิจระยะกลาง 3 ปี นับตั้งแต่ปีงบประมาณ 2563–2565 ด้วยแนวคิด Small but Beautiful ที่มุ่งเน้นการบริหารจัดการทรัพยากรในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นภูมิภาคหลักในการทำตลาดของมิตซูบิชิ ตามที่มีรายงานไปในช่วงก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ บริษัทยังจะเน้นการใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยมาปรับใช้มากขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว โดยที่แผนธุรกิจใหม่จะให้ความสำคัญกับการปรับปรุงต้นทุนให้มีความเหมาะสม และการยกระดับความสามารถในการสร้างผลกำไร เพื่อการวางรากฐานการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งและการเติบโตอย่างยั่งยืน
ทาคาโอะ คาโตะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของมิตซูบิชิ เปิดเผยว่า บริษัทต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์จากการขยายธุรกิจแบบรอบด้านไปสู่กลยุทธ์ที่มุ่งเน้นแบบเฉพาะเจาะจง ด้วยการปฏิรูปเชิงโครงสร้างและเสริมความแข็งแกร่งในด้านที่มีความชำนาญ เพื่อสร้างโครงสร้างที่มั่นคงและสามารถสร้างผลกำไร
ภายใต้แผนงานของแผนธุรกิจระยะกลาง มิตซูบิชิมีเป้าหมายที่จะลดต้นทุนคงที่ลงไม่น้อยกว่า 20% และมุ่งเน้นการลงทุนในภูมิภาคหลักและเทคโนโลยีสำคัญเพื่อเพิ่มผลกำไร ด้วยการให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการด้านทรัพยากรในภูมิภาคอาเซียน และเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดให้มากกว่า 11%
รวมไปถึงการพัฒนาธุรกิจในภูมิภาคแอฟริกา โอเชียเนีย และอเมริกาใต้ ให้เป็นอีกหนึ่งภูมิภาคหลัก นอกจากนี้ ก็จะเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ทั้งรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้า ภายในปีงบประมาณ 2565 พร้อมรถอเนกประสงค์ รถกระบะ และรถเอ็มพีวี ในอาเซียน ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2565 เป็นต้นไป
ประเทศไทยภายใต้แผนธุรกิจใหม่ของ Mitsubishi
แผนธุรกิจใหม่ดังกล่าวเป็นจะเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปเชิงโครงสร้างเพื่อการลดต้นทุนคงที่ ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิต ทั้งนี้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น จะให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงประเทศไทย ที่เป็นตลาดและฐานการผลิตที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง
มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ยังจะเพิ่มผลกำไรด้วยการส่งเสริมเทคโนโลยีที่เป็นเอกลักษณ์และโดดเด่น อาทิ ระบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ระบบไฮบริด (HEV) และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (S-AWC) รวมถึงการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ที่ผลิตขึ้นจากความร่วมมือกันในกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจเข้าด้วยกันในอนาต
โมะริคาซุ ชกกิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทมุ่งมั่นเดินหน้าเพื่อสร้างการเติบโตในประเทศไทย ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์และการบริการที่เป็นเลิศ โดยประเทศไทยถือเป็นตลาดที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินงานของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเป็นที่ตั้งของศูนย์การผลิตรถยนต์ มิตซูบิชิ ขนาดใหญ่ที่สุดนอกประเทศญี่ปุ่น โดยเราจะยังคงมุ่งมั่นในการเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดภายในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมไปถึงการเปิดตัวสินค้าและเทคโนโลยียานยนต์ที่ทันสมัยอีกหลายอย่างที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยในอนาคต
“หนึ่งในแผนงานที่สำคัญที่สุดของเราในระยะกลาง ได้แก่ การผลิต Mitsubisi Outlander PHEV (มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี) ที่ศูนย์การผลิตนอกประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และมีแผนที่จะแนะนำรถกระบะ Mitsubishi Triton (มิตซูบิชิ ไทรทัน) เจเนอเรชันใหม่ และยานยนต์อีกหลากหลายรุ่น"
เดินหน้าทุกผลิตภัณฑ์รากฐานสำคัญแห่งอนาคต
มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ประกาศว่าพวกเขาจะยังคงผลิตและจำหน่ายรถยนต์รุ่นปัจจุบันครบทุกรุ่น ไม่ว่าจะเป็น Mitsubishi Pajero Sport (มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต) มิตซูบิชิ ไทรทัน Mitsubishi Xpander (มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์) Mitsubishi Attrage (มิตซูบิชิ แอททราจ) และ Mitsubishi Attrage (มิตซูบิชิ มิราจ)
รถยนต์ทั้งหมดนี้ จะยังคงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดในปัจจุบัน ก่อนที่จะมีการพัฒนาไปสู่ยานยนต์รุ่นใหม่ที่มีความยั่งยืนอย่างรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ซึ่งบริษัทได้เดินหน้าปรับสายการผลิตอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้เตรีมก่อสร้างโรงพ่นสีแห่งใหม่ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่แหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี
โรงพ่นสีแห่งใหม่นี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการลงทุนมูลค่า 7 พันล้านบาท เพื่อปรับปรุงเทคโนโลยีและยกระดับขีดความสามารถของศูนย์การผลิตรถยนต์ที่ดำเนินงานมาอย่างยาวนานในประเทศไทย และบริษัทก็ยังมีแผนที่จะปรับปรุงพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อการยกระดับของศูนย์การผลิตแหลมฉบังในอนาคต