ตลาดรถยนต์นั่งขนาดใหญ่ D-segment เป็นกลุ่มที่มีลูกค้าน้อย ตัวเลือกรถในกลุ่มปัจจุบันก็น้อยลงตามไปด้วย เนื่องจากตอนนี้ Nissan Teana (นิสสัน เทียน่า) ก็ถอนตัวไปแล้ว ทำให้เหลือแต่ Toyota Camry (โตโยต้า คัมรี่) ที่ยังออกรุ่นใหม่มาแข่งกัน ถ้าหากไม่ชอบทรงซีดานของคัมรี ก็เหลือแต่ Honda Accord (ฮอนด้า แอคคอร์ด) เท่านั้น ที่เป็นรถขนาดใหญ่ แต่แหวกแนวด้วยทรงท้ายลาด เอาไว้ดึงดูดลูกค้าที่ชอบความหรูแต่ไม่ดูแก่เกินวัย
เมื่อตกลงปลงใจเอนเอียงมาทางHonda Accord (ฮอนด้า แอคคอร์ด)แล้ว ก็ยังมีตัวเลือกย่อยเป็นเครื่องไฮบริดกับเบนซินเทอร์โบ โดยวางตำแหน่งการตลาดรุ่นเบนซินเป็นตัวล่างสุด และให้ไฮบริดเป็นรุ่นกลางกับท็อป ในราคาต่างกันถึง 324,000 บาท เราจึงยืมรถทั้งสองรุ่นย่อย คือตัวล่างสุด 1.5 Turbo EL กับตัวท็อปสุด Hybrid Tech มาลองขับใช้งานประจำวัน เพื่อหาคำตอบรีวิวว่า มันน่าใช้สมกับที่ต้องเพิ่มส่วนต่างขนาดนั้น หรือเป็นแค่ของเล่นจุกจิกที่ไม่จำเป็นหรือไม่
ภายนอก ต่างกันเล็กน้อย
ทรงของ Honda Accord(ฮอนด้า แอคคอร์ด) รุ่นปัจจุบันมาในสไตล์หน้าเหลี่ยมท้ายลาด จงใจให้รถดูสปอร์ตผสมกับความหรูหราไปพร้อมกัน ซึ่งทั้งสองรุ่นย่อยมีความแตกต่างที่ภายนอกน้อยมาก นอกจากล้อแม็กซ์รุ่นไฮบริดเป็นแบบ 5 ก้านปัดเงา ไฟตัดหมอกหน้า และสปอยเลอร์หลังแล้ว ก็ไม่มีความแตกต่างชัดเจนมากมายอะไร เรียกว่าเป็นจุดด้อยด้านรูปลักษณ์รุ่นท็อปที่อยากให้ปรับปรุง เพราะคนจ่ายเงินเพิ่ม ย่อมอยากได้รถที่ดูหรูหรากว่ารุ่นล่างอย่างชัดเจนมากกว่านี้
Honda Accord TurboกับHonda Accord Hybridภายในตกแต่งต่างกันแค่เบาะ
ความประทับใจแรกของการตกแต่งภายในHonda Accord เริ่มต้นที่เบาะหนังรุ่นท็อปเป็นสีน้ำตาลเข้มดูหรูหรา แต่ในทางกลับกัน เบาะหนังสีดำหรือสีเบจในรุ่นเทอร์โบ ก็ไม่ได้ดูแย่ แค่ดูไม่พิเศษเท่ารุ่นไฮบริด การบุนวมนิ่มในจุดต่างๆ ก็มีมาให้เท่ากันทุกจุด ฟังก์ชั่นพื้นฐานที่รถหรูควรจะมี ก็ให้มาครบถ้วนทั้ง 2 รุ่นย่อย เช่น เบาะปรับไฟฟ้าพร้อมเมมโมรี่ 2 จุด ให้แอร์ออโต้แบบแยกส่วน มีฮีทเตอร์ให้ด้วย สรุปว่าดูด้วยสายตาแล้ว ความแตกต่างทางการตกแต่งก็มีแค่สีเบาะที่เปลี่ยนไปเท่านั้นเลย
ออพชั่น เริ่มต่างกันพอสมควร
รุ่นเบนซินเทอร์โบมีออพชั่นความสะบายอย่างครูสคอนโทรล, ปัดน้ำฝนกับควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ดูเหมือนจะเพียงพอกับความต้องการแล้ว แต่ช้าก่อน เรามาดูออพชั่นความสะดวกสะบายที่ทำให้รุ่นไฮบริดมีความพิเศษ ชนิดที่ว่าไม่สามารถนำรุ่นใดไปติดตั้งเพิ่มได้ เช่น ระบบแสดงผลขึ้นกระจก HUD ที่สำคัญคือ รุ่นไฮบริดมีพนักพิงแบบ Lumbar Support ในตัว เพื่อหนุนหลังให้คนขับนั่งสบายกว่าชัดเจน นี่ยังไม่นับรวมของเล่นกระจุกกระจิกที่ไม่ค่อยได้ใช้งานบ่อยๆ อย่างเช่น หลังคาซันรูฟไฟฟ้า, ชุดเครื่องเสียงใหม่พร้อมระบบนำทาง และแท่นชาร์จไร้สาย ก็มีของครบยิ่งขึ้นไปอีก
ความปลอดภัยต่างกันราวฟ้ากับเหว
ระบบความปลอดภัยมาตรฐานในรุ่นเทอร์โบมีให้ครบ อย่างกล้องมองภาพด้านหลังที่ปรับมุมได้ 3 ระยะ หรือกล้องมองภาพด้านข้าง Honda LaneWatch ก็มีให้ใช้งานแล้วในรุ่นนี้ และรองรับการชนด้วยถุงลมอีก 6 ใบรอบคัน พอมาขับในรุ่นไฮบริด พบว่ามีระบบช่วยการขับเยอะไปอีก คือเพิ่มระบบ Honda Sensing ที่เตือนการชนด้นหน้าพร้อมเบรคให้ เตือนการชนด้านท้าย เตือนรถออกนอกเลนพร้อมบังคับพวงมาลัย และยังมีระบบควบคุมความเร็วตามรถคันหน้าด้วย ในเมื่อมีของให้ลองเยอะขนาดนี้ เราจึงต้องมาขับจริงให้รู้ว่ามันทำงานดีแค่ไหน
ลองเล่นHonda Accord TurboกับHonda Accord Hybridระบบช่วยขับ
เราเจาะจงมาขับในรุ่น Hybrid Tech เพื่อลองระบบช่วยขับขี่ทั้งหมด โดยเริ่มจากการใช้กล้องมองภาพรอบทิศทาง ที่ทำงานพร้อมเซนเซอร์ 4 จุดรอบคัน พบว่ามันทำงานได้ใกล้กว่าที่ตาเรากะระยะเอง ทำให้การเลี้ยวในซอยแคบกับรถวงเลี้ยวกว้างแบบนี้ ก็ไม่ต้องเล็งให้เกร็งมาก ส่วนระบบการช่วยจอดเป็นแค่การแนะนำวิธีหมุนพวงมาลัยเท่านั้น ไม่ได้พิเศษอะไร หากคนขับรถเก่งระดับหน่งแล้ว แทบไม่ต้องสนใจด้วยซ้ำ
ระบบตามรถคันหน้า ทำงานได้จริง
การขับในความเร็วต่ำ ยังมีความพิเศษคือสามารถขับตามรถคันหน้าได้ด้วย โดยเมื่อจอดนิ่งติดกับรถคันหน้า ให้เปิดโหมดนี้ ตั้งแค่ระยะความห่างที่ชอบ แล้วเมื่อเหยียบคันเร่งตามรถคันหน้าไป ก็จะเริ่มทำงานทันที โดยจะเพิ่มความเร็วตามที่เรากำหนด แม้ว่าเราจะแกล้งเซ็ตความเร็วมากเกินเบอร์เท่าไหร่ กับตั้งระยะเบรคกระชั้นชิดสุดๆ แค่ไหนก็ตาม รถรุ่นนี้ก็จะทำแค่เร่งความเร็วให้เท่ากับรถคันหน้า แล้วรักษาระยะห่างตามที่ระบบเบรคทำงานเหมาะสม จนเมื่อรถคันหน้าเบรคจนหยุดสนิท รถของเราก็จะเบรคตามด้วยน้ำหนักแรงจีปกติ ไม่ได้หัวทิ่มอะไร เพราะรถมันคำนวนความเร็วกับระยะห่างที่เหมาะสม ให้เราไม่หัวทิ่มเอาไว้แล้ว
ข้อเสียของระบบนี้คือไม่เหมาะสมกับนิสัยการจราจรแบบไทยๆ เพราะเต็มไปด้วยพวกชอบปาดหน้า ดังนั้นระยะเบรคที่รถคำนวนไว้เหมาะสม อาจจะโดนปาดเข้าเลนได้ง่าย และมีหลายข้อจำกัดคือ ระบบตรวจจับรถระยะไกลมากไม่ทัน หากรถคันหน้าเร่งเร็วจนฉีกห่างออกไปทันที รถเราจะไม่เร่งตามด้วยความแรงขนาดนั้น อีกทั้งการเลี้ยวในทางโค้งกว้างๆ เช่น โค้งรัชดา หรือโค้งก้นหอยลงทางด่วนต่างๆ ก็อาจทำให้รถคันหน้าหลุดจากเรดาร์ไปได้
ระบบควบคุมเลนใช้ดี มีข้อควรระวัง
การขับในความเร็วสูงยังมีระบบสุดเทพนั่นคือ การเตือนและควบคุมรถให้อยู่ในเลน โดยจะทำงานเมื่อรถขับไปด้วยความเร็วคร่าวๆ ประมาณ 40 กม./ชม.ขึ้นไปถึงจะเริ่มต้นโดยอัตโนมัติ เมื่อเห็นถนนโล่งก็แกล้งเขี่ยพวงมาลัยให้รถเฉออกในความเร็วประมาณ 80 กม./ชม. อันเป็นความเร็วปกติที่ใช้เดินทางกัน พบว่าระบบตรวจจับได้รวดเร็ว พร้อมการกระดิกพวงมาลัยเบาๆ ให้รถกลับเข้าเลนง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเส้นประ เส้นทึบ หรือเส้นถนนสีอะไรก็ตาม มันจะตรวจจับได้ทุกแบบ แถมยังเตือนและขัดขืนพวงมาลัยอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเราจะฝืนนำรถแหกนอกเลนไปครึ่งคันแล้วก็ตาม
ข้อควรระวังของระบบนี้คือ เมื่ออยู่ในสภาพฝนตกและกลางคืนแสงน้อย ระบบนี้มีโอกาสไม่ทำงานสูงมาก ดังนั้นเราจึงไม่ควรไว้ใจใช้ระบบนี้ในสภาพอากาศอื่นๆ อีกทั้งการเปิดไฟเลี้ยวขณะเปลี่ยนเลน ก็ไม่ทำให้เซนเซอร์หยุดร้องแต่อย่างใด ไฟเลี้ยวมีผลแค่หยุดการคืนพวงมาลัยกลับเท่านั้น ดังนั้นใครรำคาญเสียงเตือนทุกครั้งที่เปลี่ยนเลน ก็เลือกปิดไปทั้งระบบได้ครับ
เครื่องยนต์ แรงต่างสไตล์ ดีคนละอย่าง
2019 Honda Accord(ฮอนด้า แอคคอร์ด) มีเครื่องยนต์ 2 แบบให้เลือกคือเบนซิน 1.5 เทอร์โบ บล็อคเดียวกับซีวิคนำมาแต่งเพิ่ม 17 แรงม้า กับเครื่องเบนซินไฮบริด ที่ยกระบบมาจากแอคคอร์ดรุ่นก่อนหน้า เราได้ลองขับแอคคอร์ดใหม่ทั้งสองขุมพลังในวันเดียวกัน
รุ่นเทอร์โบได้รับความรู้สึกหลังติดเบาะด้วยบูสต์เทอร์โบมาเต็ม ไม่ว่าจะอยู่ในโหมดไหนก็ตาม การเร่งแซงให้ความแรงทันทีที่เกียร์คิกดาวน์ ยิ่งโหมด Sport จะช่วยลดความหน่วงคันเร่ง ให้สั่งความแรงมาตามเท้าทันควัน การคิกดาวน์ก็ทำได้รวดเร็วจนแทบไม่ต้องใช้แป้นแพดเดิ้ลชิฟต์เลย เหนือกว่าคู่แข่งที่เป็นเบนซินลูกสูบโตอย่างชัดเจน นับว่าเหลือเฟือต่อการใช้งาน
ทีมงานจอดรถเทอร์โบแล้วมาขับรุ่นเครื่อง Hybrid กันต่อทันที พบว่ามีความแรงสะใจไม่แพ้กัน แต่มีความแตกต่างตรงที่ การเร่งแซงนั้น ให้กำลังมาแบบไต่ระดับ ความติดเบาะไม่ได้กระชากเท่าแบบเทอร์โบในทันที แต่ยังมีแรงส่งมาต่อเนื่องและมาอย่างหนักหน่วงกว่าด้วยซ้ำ ส่วนในโหมดสปอร์ตนั้น ก็แทบไม่มีผลเรื่องความแรงใดๆ เพราะยังให้อัตราเร่งแบบค่อยไต่ระดับอย่างผู้ดี ระบบไฮบริดจะมีไฟฟ้าสำรองให้เราใช้เร่งแรงได้เสมอ ไม่มีการแบตอ่อนแล้วหมดความแรงแต่อย่างใด
คุณกัสคาดการณ์: เทอร์โบต้องจัดเต็มกว่านี้
สำหรับคำถามว่าจะเลือกรุ่นเครื่องยนต์ไหนดี จากความเห็นส่วนตัวแล้วชอบแบบเทอร์โบมากกว่า เพราะได้อารมณ์เป็นรถ 2 บุคลิก ตรงที่ภายนอกดูไม่รู้ว่าแรง แต่เมื่อเอาจริงแล้วดูน่ากลัวกว่าตาเห็น มาพร้อมระบบช่วยขับขี่ที่ใช้ได้จริง เพียงแค่แพ้รุ่น Hybrid Tech ตรงเรื่องออพชั่นความปลอดภัยที่มี Honda Sensing ซึ่งอยากให้รุ่นเทอร์โบได้รับออพชั่นนี้ด้วย จะทำให้คนที่ชอบความดึงแบบเครื่องอัดอากาศ ก็ได้รับความปลอดภัยอย่างไฮบริด คงเป็นอะไรที่เพอร์เฟ็คมาก
2019 Honda Accord(ฮอนด้า แอคคอร์ด) รุ่นเทอร์โบ กับไฮบริดตัวท็อป มีส่วนต่างถึง 324,000 บาท คุ้มที่จะเพิ่มเงินหรือไม่ ก็ต้องสำรวจตัวเองว่าเป็นคนใช้รถสไตล์ไหน หากซื้อรุ่นท็อปไปเลย ก็มีออพชั่นช่วยขับขี่ได้จริง เป็นการซื้อความสะดวกสะบายและได้ความหรูหรากับสารพัดของเล่น โดยมีความแรงหนักๆ ให้เป็นของแถมซ่อนอยู่ เหมาะกับบุคคลทุกเพศวัย ขับง่ายทั้งครอบครัว ส่วนใครที่ชอบฟิลลิ่งแรงดึงแบบเทอร์โบ ไม่ต้องจ่ายแพง เล่นรุ่น Turbo EL นี้ก็ขับสนุก มีระบบความปลอดภัยไม่ขาดมืออยู่แล้ว คิดซะว่าประหยัดเงิน 3 แสนกว่าบาทไว้เติมน้ำมันกับแต่งรถได้อีก เหมาะสำหรับนักขับและคนชอบขับรถ ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ระบบช่วยขับขี่ต่างๆ
ระหว่างHonda Accord Turbo (ฮอนด้าแอคคอร์ดเทอร์โบ)กับHonda Accord Hybrid(ฮอนด้าแอคคอร์ดไฮบริด)รุ่นท็อปนั้น ยังมีรุ่นย่อยตรงกลางกับAccord Hybrid ราคา 1,639,000 บาท ที่ได้ระบบ Sensing เหมือนกัน ขาดแค่ของเล่นหรูหรา และระบบเตือนบางอย่างเท่านั้น ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ทำให้เราตัดสินใจซื้อยากขึ้น ดังนั้นเมื่ออ่านรีวิวนี้จบแล้ว ให้รีบไปลองขับให้ค้นพบด้วยตัวเองว่าชอบสไตล์ไหนกันเลยครับ