ในขณะที่ข่าวเกี่ยวกับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า มีโผล่เข้ามาแทบทุกวัน ตั้งแต่ประเด็นของภาครัฐที่จะสนับสนุนให้เกิดการใช้ที่มากขึ้น ไปจนถึงการวางแผนนโยบายบังคับเลิกขายรถยนต์เครื่องสันดาป ในหลายประเทศ ไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็นด้วย และ Akio Toyoda (อากิโอะ โตโยดะ) ประธานใหญ่ของบริษัท Toyota Motor Corporation (โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชัน) ก็ได้ออกมาแสดงความเห็นถึงประเด็นเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าในงานแถลงข่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
การแสดงความเห็นในครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่มีข่าวว่า รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังวางแผนที่จะบังคับการยกเลิกการวางจำหน่ายรถยนต์เครื่องสันดาปภายในกลางทศวรรษที่ 2030
Akio Toyoda และ 2008 Lexus IS-F
ไม่ใช่ความลับอะไรนะครับ ที่ประธานของบริษัท Toyota ผู้ซึ่งเป็นหลานของ Kiichiro Toyoda ผู้ก่อตั้งบริษัทนี้ เป็นคนที่ชื่นชอบในการขับรถ แข่งรถเป็นอย่างมาก ก่อนที่เขาจะเข้ามาเป็นประธานบริษัท เขามักจะแอบไปแข่งรถในงานต่าง ๆ ด้วยชื่อว่า "Morizo" อันกลายมาเป็นนามปากกาที่ใช้ในจดหมายภายในบริษัท
อีกทั้งยังเป็นคนที่ทำให้เกิดรถแรลลี่ระดับตำนานก่อนเปิดตัวอย่าง Toyota GR Yaris (โตโยต้า จีอาร์ ยารีส) ขึ้นมาด้วย Akio Toyoda เป็นหนึ่งในประธานผู้บริหารของบริษัทรถยนต์ที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดในโลก
“ธุรกิจยานยนต์ล้มแน่นอนถ้าหากตัดสินใจเปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้าเร็วเกินไป”
Akio Toyoda ได้ตั้งข้อสังเกตและให้ความเห็นเอาไว้ในหลายประเด็นด้วยกัน อาทิเช่นประเด็นเรื่องการสร้างพลังงาน ถ้าหากโครงสร้างการผลิตไฟฟ้าของญี่ปุ่นยังคงไว้ในระดับเท่าเดิม และทุกคนเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า ในช่วงฤดูร้อนก็จะไม่สามารถผลิตพลังงานได้ทัน
Akio Toyoda กล่าวเสริมว่า จากการคาดการณ์ ถ้าหากจะสร้างโครงสร้างการผลิตไฟฟ้าให้มากเพียงพอที่รถทุกคันจะถูกเปลี่ยนไปใช้พลังงานไฟฟ้า จะต้องใช้เงินลงทุนถึง 14 ถึง 37 ล้านล้านเยน (ประมาณ 4 ถึง 10.5 ล้านล้านบาทไทย)
นอกเหนือจากนั้น ในความคิดเห็นของเรา ประเด็นของการสร้างมาตรฐานในระบบการแจกจ่ายพลังงานไฟฟ้า ก็ยังไม่ได้รับการพูดถึงกันมาก ถ้าหากยังไม่มีมาตรฐานของชนิดปลั๊กไฟที่แน่นอน การสร้างสถานีจ่ายไฟ ก็จะวุ่นวาย ไม่ต่างกับที่ปั้มน้ำมัน มีน้ำมันให้เลือกจำนวนชนิดที่มากเกินไป ประเด็นนี้ยังไม่มีคนพูดถึงกันมากนัก แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถละเลยได้
เราต้องขอเรียนตามตรงว่า ในตอนนี้ยังไม่เข้าใจตารางนี้แม้แต่นิดเดียว
รถไฟฟ้ารักษ์โลก จริงหรือ?
อีกหนึ่งประเด็นที่ Akio Toyoda ได้พูดถึง ก็คือประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม เนื่องจากโรงไฟฟ้าในญี่ปุ่น ยังใช้พลังงานถ่านหินและแก๊สธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่
ส่วนหนึ่ง เราคิดว่า เนื่องจากโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ประสบปัญหาจากเหตุการณ์ซึนามิเมื่อปี 2011 ซึ่งทำให้ความเชื่อมั่นใจพลังงานสะอาดชนิดนิวเคลียร์ตกต่ำลงไป และพลังงานสะอาดชนิดอื่น เช่น เขื่อน หรือกังหันลม ก็ยังไม่ได้รับความนิยมมากในญี่ปุ่น
เหตุการณ์ภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟูกูชิมะ ยังคงส่งผลกระทบมาจนถึงทุกวันนี้
ในความคิดเห็นของเรา นี่ยังไม่นับรวมประเด็นของการกำจัดขยะอิเล็กทรอนิคซึ่งใช้ในการสร้าง รวมไปถึงขยะชิ้นใหญ่ที่สุดอย่างแบตเตอรี่ ที่ถ้าหากหมดอายุเมื่อไหร่ การจัดการก็จะทำได้ยากยิ่ง ถึงกระนั้น จนกว่าจะมีการวิจัยและใช้งานจริง คำตอบว่าจะจัดการกันได้หรือไม่ ต้องใช้ทรัพยากรขนาดไหน ก็คงเป็นเรื่องที่ฟันธงได้ยากครับ
ขยะแบตเตอรี่ Lithium-Ion ส่วนมากในปัจจุบัน ยังไม่มีการจัดการกำจัดที่ดีพอ
หยุดก่อน คนที่บอกว่า Toyota ตามโลกไม่ทัน
ตอนนี้ Toyota เป็นหนึ่งในบริษัทที่ลงทุนเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนายานยนต์พลังงานไฟฟ้า ที่มากที่สุดในโลก Toyota กำลังคิดค้นทั้งแบตเตอรี่แบบ Solid State และการใช้พลังงานไฮโดรเจนสร้างไฟฟ้าขับเคลื่อนรถบรรทุก รวมไปถึงการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่นใหม่ในแบรนด์ Lexus เช่นรุ่น Lexus UX300e (เลกซัส ยูเอกซ์300อี) หรืออย่างรถ Toyota Mirai พลังงานไฮโดรเจน ซึ่งมาเสริมทัพรถยนต์ไฮบริด สันดาปผสมไฟฟ้าจำนวนมากที่ Toyota เองก็เป็นผู้นำตลาดมากว่า 20 ปี
2021 Lexus UX300e
ในมุมมองของเรา Toyota เป็นบริษัทที่ไม่เน้นความฉาบฉวย ไม่ต่างจากรถที่พวกเขาผลิตเอง เทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาและนำมาใช้เร็วเกินไป อาจจะส่งผลให้มีปัญหาข้างเคียงจำนวนมากที่อาจจะนึกไม่ถึง นี่เป็นแนวคิดที่ Toyota ใช้ในการสร้างรถยนต์เสมอมา ถ้าหากพวกเขาไม่แน่ใจในอะไรบางอย่าง เราก็จะไม่มีวันได้เป็นหนูทดลองให้กับ Toyota อย่างแน่นอน
2021 Toyota Mirai (โตโยต้า มิไร)
อีกทั้ง Akio Toyoda เอง ก็เคยเสนอความเห็นเอาไว้ว่า แนวคิดการทำงานของบริษัท Tesla ก็มีความน่าสนใจ และ Toyota เองก็ต้องเรียนรู้หลายสิ่งอย่างจากบริษัทสตาร์ทอัพหน้าใหม่นี้
แล้วเราเลือกอะไรได้ไหม?
อย่างที่เราได้เคยกล่าวไปแล้วว่า การจะคาดการณ์อนาคตนั้นไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่าย ๆ บางทีสักวันหนึ่งในอีกหลายปีข้างหน้า เราอาจจะย้อนกลับมาอ่านข่าวนี้ แล้วก็พบว่าทุกอย่างนั้นไม่มีอะไรตรงกับความเป็นจริงเลย หรือไม่ทุกข้อสังเกตก็อาจถูกจุดประเด็นใหม่โดยคนในอนาคตที่ลืมกันไปแล้วก็ได้ แม้แต่ Akio Toyoda เอง ก็อาจจะต้องกลืนน้ำลายตัวเองเข้าถ้าสิ่งที่กล่าวไว้ไม่เป็นเช่นนั้น แต่เช่นเดียวกัน เขาก็อาจจะพูดถูก ถ้าไม่ทั้งหมดก็เกือบทั้งหมด
สิ่งสำคัญแน่นอนคือ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม โลกในอีก 10 ปีข้างหน้า จะไม่เหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้อย่างแน่นอนครับ