Audi Thailand (อาวดี้ ประเทศไทย) ปรับแผนงานฝ่าวิกฤต COVID-19 เน้น 3 นโบายหลัก เพิ่มความหลากหลายของสินค้า ทำราคาท้าชนคู่แข่ง และสร้างความสบายใจให้ลูกค้าด้วยงานบริการ พร้อมปรับงบมอเตอร์โชว์เน้นมินิมอล โยกอัดแคมเปญเต็มที่ ตั้งเป้ารักษายอดขาย 1,000 คันปีนี้
กฤษฎา ล่ำซำ ประธานกรรมการ อาวดี้ ประเทศไทย เปิดเผยว่า อาวดี้ได้เริ่มปรับนโยบายการทำตลาดในประเทศไทยตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา และปรับตัวอย่างต่อเนื่องท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา เพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ท่ามกลางสถานการณ์ที่มีปัจจัยลบเกิดขึ้นมากในปัจจุบัน
ทั้งนี้ อาวดี้ ประเทศไทย ยังเดินหน้าแผนงานในการปรับพอร์ตสินค้าให้มีความน่าสนใจและจับต้องได้ง่ายขึ้น ตามแผนงานที่วางเอาไว้ว่าจะต้องมีพอร์ตสินค้าที่ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทให้ได้ 30% ซึ่งในปัจจุบัน ตัวเลขดังกล่าวถือว่าสามารถทำได้แล้ว ซึ่งทำให้อาวดี้เป็นรถยนต์ที่จับต้องได้ง่ายขึ้น
"หรือแม้แต่ในรถที่ราคาแพงกว่า 3 ล้านบาทนั้น หากนำไปเปรียบเทียบด้านราคาจำหน่ายและของที่ได้มากับรถของอาวดี้ ก็ถือว่ามีความคุ้มค่าที่สุดในท้องตลาด ยกตัวอย่างเช่น Audi RS Q8 (อาวดี้ อาร์เอส คิว8) ที่เราทำราคา 10.89 ล้านบาท เทียบกับคู่แข่งแล้ว ราคาเกิน 20 ล้านทุกคน"
เพิ่มความหลากหลายของสินค้าครบวงจร
นโยบายในการปรับเพิ่มไลน์สินค้าให้มีความหลากหลาย เป็นกลยุทธ์ที่ 2 ใน 3 กลยุทธ์หลักที่กฤษฎาเรียกรวมกันว่า 'จับต้องได้ หลากหลาย สบายใจ' ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ทางอาวดี้ทำเต็มที่เพื่อลูกค้าในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะการเปิดตัวสินค้ากลุ่มสมรรถนะสูงอย่างตระกูลอาร์เอส (RS)
นับจากวันที่เปิดตัวในปีแรก อาวดี้ ประเทศไทยทำตลาดด้วยรถยนต์ 10 รุ่น 13 รุ่นย่อยมาจนถึงปีที่ 4 ที่พวกเขามีรถยนต์ทำตลาดอยู่มากถึง 20 แบบตัวถังใน 30 รุ่นย่อย ซึ่งถือเป็นการขยายตลาดออกไปครบทุกเซกเมนต์ ซึ่งแน่นอนว่ารวมไปถึงรถไฟฟ้าอย่าง อาวดี้ อี-ตรอน (Audi e-tron) ที่ขายอยู่ 5.099 ล้านบาท
"ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบริษัทแม่มองว่าเราเป็นตัวแทนจำหน่ายที่มีศักยภาพสูง และประเทศไทยเป็นตลาดที่อาวดี้ยังสามารถเติบโต ซึ่งเราทำงานหนักมากกับบริษัทแม่ในเรื่องของการหาสินค้าและการทำราคา ซึ่งทำให้เราเองเป็นผู้นำในภูมิภาคในเรื่องการเลือกสินค้าเข้ามาทำตลาด"
เพิ่มบริการดูแลลูกค้าครบวงจร
การให้บริการลูกค้าถือเป็นหัวใจหลักของวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ และออดี้ที่มาทีหลังผู้ประกอบการรายอื่นก็รับรู้เรื่องนี้เช่นกัน ในช่วง 3 ปีแรกของการทำตลาด อาวดี้มีตัวแทนจำหน่ายอยู่ในประเทศไทย 5 ราย เป็นในกทม. 2 รายและต่างจังหวัด 3 ราย และมีแผนจะขยายเพิ่มในปีนี้
แผนงานของอาวดี้ ประเทศไทยในปีนี้ จะมีการขยายโชว์รูมและศูนย์บริการเพิ่มอีก 2 แห่ง ประกอบไปด้วยในกทม. บนถนนราชพฤกษ์ และทางภาคอีสานที่จังหวัดอุดรธานี รวมถึงการจัดการเรื่องมาตรฐานการให้บริการและราคาอะไหล่เสียใหม่ เพื่อให้ผู้ใช้งานรถยนต์ออดี้มีความสบายใจสูงสุด
"ไม่ใช่แค่เรื่องของการขยายศูนย์บริการ เรายังเข้าไปปรับโครงสร้างราคาอะไหล่ของอาวดี้ใหม่หมด เพื่อดูแลผู้ใช้รถของเรา ราคาอะไหล่บางรายการของเราลดไป 30-300% ทำให้ลูกค้าของเรามีพัฒนาการจากการชื่นชอบรถ ตัดสินใจซื้อรถ และกลับมาซื้อซ้ำอย่างเหนียวแน่นในท้ายที่สุด"
ปรับสเกลมอเตอร์โชว์เน้นแคมเปญหนัก
สำหรับการเข้าร่วมงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ในปีนี้ บูธของอาวดี้ไม่ได้เน้นการตกแต่งอะไรเลย มีเพียงรถยนต์มาจอดเรียงรายกันไปหมด ซึ่งผิดกับนิสัยของแบรนด์ที่ได้รับรางวัลการออกแบบตกแต่งบูธยอดเยี่ยมมาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา แต่กฤษฎายืนยันว่านี่คือเรื่องที่เหมาะสม
ทั้งนี้ เขายืนยันว่านี่คือการปรับตัวเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบัน ที่ต้องเน้นเรื่องการบริหารจัดการต้นทุนมากเป็นพิเศษ และไม่ใช่แค่เรื่องบูธมอเตอร์โชว์ แต่ยังรวมถึงการทำตลาดและแผนงานทั้งหมดของบริษัทก็เช่นกัน เพื่อที่จะส่งมอบแคมเปญที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภคในประเทศไทย
"เรามองเรื่องการบริหารจัดการต้นทุนเป็นหลัก อะไรที่ไม่จำเป็นเราตัดออกหมด แต่เราไมได้เก็บเงินตรงนั้นเอาไว้ เราเปลี่ยนมาเป็นแคมเปญให้ผู้บริโภคหมดเลย ในงานมอเตอร์โชว์ ลูกค้าเลือกออกรถแบบไม่มีเงินดาวน์ หรือผ่อน 0% นาน 7 ปีได้ แบบไม่มีหมกเม็ดดอกจันทร์อะไรทั้งสิ้น"
ปรับแผนใหญ่รับมือโควิด-19
กฤษฎาระบุว่ายังไม่สามารถยืนยันได้ว่าสถานการณ์โรคระบาดจะสิ้นสุดลงเมื่อใด ซึ่งที่ผ่านมา นอกจากเรื่องเป้าหมายการจำหน่ายที่วางเอาไว้ 1,000 คันเท่ากับปีที่ผ่านมาจะทำได้ยากขึ้นแล้ว หลาย ๆ โครงการก็ต้องถูกเลื่อนออกไป อาทิ การเปิดโรงงานประกอบ เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม
แน่นอนว่าเป็นช่วงเวลาที่อาวดี้ ประเทศไทย ต้องทำงานกันอย่างหนัก เพราะแม้จะมีสินค้าใหม่เพิ่มขึ้นมากมายในช่วงที่ผ่านมา แต่การที่จะเข้าถึงผู้บริโภคก็ทำได้ยากขึ้น แต่หากดูยอดจำหน่ายในช่วง 6 เดือนแรกของปีก็ยังพอใจชื้นอยู่บ้าง เพราะมียอดจำหน่ายดีกว่าในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาเล็กน้อย
"ผมเชื่อว่ารัฐบาลกำลังพยายามจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยกลับมา ด้วยการมองเรื่องการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก ซึ่งอาวดี้เองเป็นสตาร์ทอัพ ข้อดีคือเราเล็กและไดนามิกกว่า แต่เราก็ต้องทำงานหนักอย่างแข็งขันมากขึ้น เพราะถ้าเราทำงานเหมือนเดิมมันก็คงยากที่จะทำได้ตามเป้าที่วางไว้"