จริง ๆ แล้ว McLaren (แมคลาเรน) เคยทำรถยนต์ไฮบริดมาแล้วอย่าง McLaren P1 (แมคราเลน พี1) ราคา 1 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 31 ล้านบาท) และ McLaren Speedtail ราคา 2 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 63 ล้านบาท) แต่ก็ผลิตจำนวนจำกัด
สำหรับ McLaren Artura (แมคลาเรน อาร์ทูร่า) ไม่ใช่การเอารถเก่ามาทำใหม่ แต่เป็น All New ที่ได้รับ ดีไซน์, เครื่องยนต์, เกียร์ และช่วงล่างใหม่ทั้งคัน เรามาดูข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับตัวรถ ก่อนเปิดตัวในไทยวันที่ 29 เมษายนนี้กันครับ
1. ราคาเริ่มต้น 7 ล้าน
สำหรับราคาที่ประกาศไว้ เริ่มต้นอยู่ที่ 185,500 ปอนด์อังกฤษ หรือราว ๆ 7,793,000 บาทยังไม่รวมภาษีนำเข้า มี 4 รุ่นย่อยให้เลือก ส่งมอบได้ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ซึ่งจะผลิตออกมาในจำนวนมาก (Mass-Produced) แทนที่จะออกมาแบบลิมิเต็ด
2. เครื่องยนต์ V6 Hybrid
ขุมพลังอาร์ทูร่า ใช้เป็นเครื่อง V6 เทอร์โบคู่ 3.0 ลิตร วางเครื่องกลางรถยนต์เพื่อกระจายน้ำหนัก ขับเคลื่อนล้อหลัง กำลังสูงสุด 585 แรงม้า ที่ 7,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 585 นิวตันเมตร ที่ 2,250 – 7,000 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อคู่หลัง
สำหรับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 95 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 225 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 7.4 กิโลวัตต์ชั่วโมง Plug-In Hybrid หากใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเดียว ทำความเร็วสูงสุดได้ 130 กม,/ชม. และขับขี่เป็นระยะทางสูงสุดได้ 30 กิโลเมตร
- ทั้งระบบ กำลังสูงสุด 680 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 720 นิวตันเมตร
- ทำอัตราเร่ง 0 – 100 กม./ชม. ภายใน 3.0 วินาที
- ทำอัตราเร่ง 0 – 200 กม./ชม. ภายใน 8.3 วินาที
- ความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 330 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ซึ่งน้ำหนักของเครื่องยนต์ V6 ที่เบากว่าเดิม 50 กิโลกรัม ประกอบกับเกียร์ใหม่ 8 Speed Twinclutch Transaxle ที่เบากว่าเพราะไม่มีเกียร์ถอยหลัง มอเตอร์ไฟฟ้าจะทำการหมุนล้อให้แทน
3. แพลตฟอร์ม MCLA ใหม่
ตัวถังของ Artura ถูกสร้างด้วยแพลตฟอร์มใหม่ McLaren Carbon Lightweight Architecture (MCLA) เป็นคันแรก ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์และอะลูมิเนียม ที่เบากว่ารุ่นก่อน ๆ ช่วงล่างแบบอิสระทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ระบบเบรกเป็น Carbon Ceramic Discs
4. ยางฝังชิป
ยางใช้ยี่ห่อ Pirelli ที่มีชิปคอมพิวเตอร์ฝังในตัวเพื่อแสดงข้อมูล เช่น แรงดันและอุณหภูมิของยาง ที่มีความแม่นยำและรวดเร็วเนื่องจากมีการฝังเซนเซอร์เข้าไปในตัว
หากขับในสนามจะมีการเตือนว่ายางอยู่ในอุณหภูมิที่สร้างการเกาะถนนได้ดีที่สุด พร้อมทั้งช่วงที่ควรให้ยางเย็นตัวลง และยังเตือนถึงความเร็วสูงสุดที่ยางทำได้อีกด้วย
5. ภายในและระบบการเชื่อมต่อ
ภายในมีการออกแบบให้เป็นมินิมอลด้วยวัสดุหนังและหนังกลับ มีการใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ที่น้อยลง พวงมาลัยไร้ปุ่มมัลติฟังก์ชั่น มีการวางกระจกหน้ารถบานใหญ่เพื่อวิสัยทัศน์บนถนนและสนามแข่งที่ดี เก็บของได้ 169 ลิตร
ภายในมาพร้อมหน้าจอขนาด 8 นิ้วแนวตั้ง มีระบบ Bluetooth, ระบบนำทาง, วิทยุเชื่อมต่อกับดาวเทียม ระบบภายในแม้ไม่ใช่จุดเด่นของแบรนด์ เพราะจะเป็นการเพิ่มน้ำหนักโดยไม่จำเป็น จึงสามารถเลือกจำนวนลำโพงได้ไปจนถึงระดับ Surround-Sound
6. ระบบความปลอดภัยและการรับประกัน
แน่นอนว่าราคาขนาดนี้ ระบบความปลอดภัยจัดเต็มแน่นอน มาพร้อม Advanced driver assistance systems หรือ ADAS จากการประมวนผลรอบคัน ระบบที่ให้มามี
- Intelligent Adaptive Cruise Control พร้อม Stop/go
- ระบบตรวจจับป้ายกำหนดความเร็ว
- ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเลน
- ระบบช่วยปรับไฟสูงอัตโนมัติ
การรับประกันมี
- การรับประกันตัวรถ 5 ปีหรือ 75,000 กิโลเมตร
- การรับประกันแบต 6 ปีหรือ 75,000 กิโลเมตร
- การรับประกันตัวถัง (กันสนิม) 10 ปี
ขายโรงงานที่อังกฤษ
ล่าสุดทางแมคลาเรนเอง ได้ทำการขายโรงงานผลิต, พัฒนาเทคโนโลยี, และบุคลากรให้กับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ Global Net Lease จากสหรัฐอเมริกา ในราคา 237 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 7,434,000,000 บาท
โดยจะทำการเช่าตึกที่เดิมเพื่อทำการพัฒนาและผลิตรถต่อไป เนื่องจากพิษจากการระบาดของ Covid 19 ทำให้มียอดขายน้อยลง ซึ่งการขายตึกไปเพื่อเช่าต่ออาจฟังดูแปลก แต่ก็เป็นการวางหลักประกันว่าตัวเองจะไม่ ”เจ๊ง” ในสถานการณ์แบบนี้ที่ทั่วโลกหันไปหารถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น
ทางแมคลาเรนเองก็มีความพยายามที่จะตามกระแสนี้มากขึ้นด้วยการทำรถ PHEV แต่ก็ไม่รุ้จะถูกใจกลุ่มลูกค้าหรือไม่ เนื่องจากใครที่เคยเห็นหรือได้ยินเสียง ก็ต้องติดใจกับสมรรถนะของเครื่อง V8 แน่นอน
หรือถ้ามีการเพิ่มไลน์อัพการผลิต ไปทำ SUV ก็อาจจะถูกใจคนได้ไม่น้อย เพราะตอนนี้กระแสทั้ง Crossover และ SUV กำลังมาแรง อาจจะช่วยเพิ่มยอดขายได้ แต่อาจไม่ถูกกับวิสัยทัศน์ของแบรนด์ ที่ไม่อยากทำรถใหญ่เท่าไร