New 2019 Isuzu MU-X (2019) การเปลี่ยนโฉมครั้งสุดท้ายของพีพีวีจากค่ายตรีเพชร ที่ไม่นับรวมรุ่นพิเศษอย่างดิ ออนิกซ์ (The ONYX) ถือเป็นการขยับขยายตัวเองเพื่อมารองรับการแข่งขันในตลาดที่รุนแรงและมีผู้เล่นหน้าใหม่เพิ่มขึ้น
ด้วยราคาจำหน่ายตั้งแต่ 1.099-1.474 ล้านบาทใน 6 รุ่นย่อย โดยมีทางเลือกให้กับผู้บริโภคว่าจะเลือกเครื่องยนต์ 1.9 ลิตรหรือ 3.0 ลิตรก็ได้ ซึ่งเป็นราคาจำหน่ายที่ไม่ได้ปรับขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า ทำให้รถคันนี้มีความคุ้มค่ามากขึ้นมาก โดยเฉพาะในรุ่นกลาง ๆ ที่เพิ่มของเล่นมามากมาย
หลาย ๆ คนอาจจะตั้งคำถามหรือลังเลว่าซื้อรถคันนี้ตอนนี้จะคุ้มค่าหรือไม่ เพราะคู่แข่งเปิดตัวรุ่นใหม่มาพร้อมของเล่นเพียบ แถมมิว-เอ็กซ์เอง ก็น่าจะเข้าใกล้ช่วงของการเปลี่ยนโฉมเต็มที่แล้วด้วย หรือจะหันไปจ่ายแพงอีกนิดซื้อรถของคู่แข่งไปเลยดีกว่า
นี่คือ 5 ข้อที่เราคิดว่าอีซูซุ มิว-เอ็กซ์นั้น ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร หากคุณคิดว่ารถมันเพียงพอต่อการใช้งาน ก็สามารถตัดสินใจซื้อได้แบบไม่ขี้เหร่เลยล่ะ
1.ความคุ้มค่าในการลงทุนตลอดอายุการใช้งาน
ราคาจำหน่ายตั้งต้นในรุ่นล่างที่เริ่มที่ 1.099 ล้านบาทถือว่าถูกที่สุดในตลาดพีพีวี หากไม่นับพวกถล่มราคารถของตัวเองหนีตาย และราคารุ่นท็อปที่ 1.474 ล้านบาทก็เป็นราคาจำหน่ายรุ่นท็อปที่ถูกที่สุดเช่นเดียวกันในตลาด ขณะที่คู่แข่งหลายรายแพงกว่ากันหลายแสนบาท
อีซูซุนั้นไม่ใช่คนตั้งราคารถแบบถ่อมตัวอยู่แล้ว แต่พวกเขารู้ว่าควรจะวางตำแหน่งสินค้าและราคาของตัวเองตรงไหน เพื่อให้สามารถขายได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องอัดโปรโมชั่นหรือลดราคามากเพื่อเพิ่มยอดขาย แต่ถ้าซื้อกันช่วงนี้ ก็น่าจะพอมีโปรโมชั่นกรุบกริบพอสมควร
ที่สำคัญก็คือเมื่อใช้งานและต้องการเปลี่ยนรถ นอกเหนือจากการที่ราคาจำหน่ายของอีซูซุนั้นตกน้อยกว่าคู่แข่งในท้องตลาดอยู่แล้ว พวกเขายังมีโปรแกรมจำหน่ายรถมือสองอย่างโอมากาเสะ (Omakase) ที่เพิ่งเปิดตัวไปไว้ดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ เรียกว่าคุ้มค่ากันตั้งแต่วันซื้อยันวันขายเลยทีเดียว
2.ทางเลือกออพชั่นที่หลากหลายตามต้องการ
แม้รุ่นท็อปอย่างเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร ที่มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดและระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ จะเป็นรุ่นที่เราคิดว่าน่าใช้งานที่สุด แต่หากไปดูในรายละเอียดของรุ่นย่อยของอีซูซุ มิว-เอ็กซ์แล้ว จะพบว่าพวกเขากระจายตัวสินค้าของเขาเอาไว้อย่างครบครัน
ในรุ่นเครื่องยนต์ 3.0 ลิตรนั้น ยังมีทางเลือกระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ ที่ถูกกว่ากัน 1 แสนบาท แต่ได้อุปกรณ์และระบบทุกอย่างเหมือนกันทั้งหมด ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่มีความคุ้มค่ามากสำหรับคนที่ไม่ได้ต้องการเอารถไปลุยอะไรเยอะแยะมากมาย
หรือแม้แต่ในรุ่นเครื่องยนต์ 1.9 ลิตร ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 2 ล้อทั้งหมด ก็ยังแบ่งออกเป็น 4 เกรดย่อย ที่เริ่มตั้งแต่ตัวรถแบบไม่มีอะไรเลยไปจนถึงมีระบบเต็มพิกัดเทียบเท่ารุ่นเครื่องใหญ่ แถมยังมีเกียร์ธรรมดา 6 สปีดมาเอาใจขาสับเกียร์อีก 1 รุ่นเสียด้วยนะ
3.ความสะดวกสบายสำหรับการเดินทาง
แม้จะเป็นรถที่มีอายุการทำตลาดมาสักพักใหญ่ ๆ แล้วก็ตาม อีซูซุ มิว-เอ็กซ์ ก็ยังมีห้องโดยสารที่น่าใช้งาน มีตำแหน่งเบาะที่นั่งที่เหมาะสม เบาะที่นั่งใหญ่และรองรับน้ำหนักอย่างดี รวมไปถึงการตกแต่งที่ให้บรรยากาศความหรูหราผสมกับความพรีเมียม
หากไม่ได้ใช้งานเบาะแถว 3 สามารถพับได้แบบ 50:50 เพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระ หรือจะขนของชิ้นใหญ่ก็พับเบาะแถวสองได้อีกแบบ 60:40 ซึ่งหากพับลงไปทั้งหมด พื้นที่ขนาดใหญ่ด้านหลังสามารถปูเบาะนอนเล่นได้เลย ซึ่งเป็นข้อดีของรถแบบพีพีวีทั่วไปอยู่แล้ว
ช่วงล่างหน้าแบบอิสระปีกนก 2 ชั้น พร้อมคอยล์สปริง และช่วงล่างด้านหลังแบบ 5-ลิงค์ พร้อมเหล็กกันโคลง รองรับน้ำหนักการบรรทุกหนักได้เป็นอย่างดี ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ เทอร์เรน คอมมานด์ ให้ความมั่นใจในการขับขี่ทางออฟโรดแบบเต็มพิกัด
4.เครื่องยนต์ที่ขายดี ไว้ใจได้เรื่องการซ่อมบำรุง
ทั้งเครื่องยนต์ 1.9 ลิตรและ 3.0 ลิตรของอีซูซุนั้น คือเครื่องยนต์รุ่นเดียวกันกับที่ติดตั้งในอีซูซุ ดีแมคซ์ (Isuzu D-Max) รถกระบะที่ขายดีที่สุดในประเทศไทยต่อเนื่องมาหลายปี และยังใช้กันต่อไปในรถรุ่นใหม่ ๆ ของพวกเขาอีกด้วย เรียกว่าอย่างอื่นอาจจะตกรุ่น แต่เครื่องยนต์ได้มูฟออนไปต่อ
แม้จะเป็นเครื่องยนต์ที่ไม่ได้มีความโดดเด่นในเรื่องของสมรรถนะแบบให้ต้องพูดถึง แต่เครื่องยนต์ทั้ง 2 รุ่นนี้ก็ได้รับการพิสูจน์มาแล้วในเรื่องของความทนทานในการใช้งาน ที่ไม่จุกจิกและไม่มีปัญหาอะไรขนาดหนัก ทำให้ผู้ใช้งานสามารถสบายใจได้
นอกจากนี้ หากมีปัญหาเกิดขึ้นจริง ๆ ต้องบอกว่าช่างผู้ชำนาญการของอีซูซุนั้นมีความเชี่ยวชาญในการดูแลรถเหล่านี้เป็นพิเศษ เพราะพวกเขาจำหน่ายรถจริง ๆ เพียงแค่ 2 รุ่น 2 เครื่องยนต์เท่านั้น ถ้ายังซ่อมไม่ได้ ไม่เชี่ยวชาญ ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว
5.เครือข่ายศูนย์บริการที่ยอดเยี่ยมและอยู่ระหว่างการปรับปรุง
ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ ได้ประกาศทุ่มงบประมาณกว่า 4,000 ล้านบาทในประเทศไทย เพื่อทำการปรับปรุงเครือข่ายศูนย์บริการของพวกเขา ให้มีภาพลักษณ์ มาตรฐานการให้บริการใหม่ รวมถึงขยายเพื่อรองรับการให้บริการรูปแบบใหม่ ๆ ที่จะเพิ่มเติมมาในอนาคต
นอกเหนือไปจากการปรับโฉมของศูนย์บริการทั่วประเทศ ที่มีกำหนดจะเสร็จในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า อีซูซุยังเป็นหนึ่งในค่ายรถที่มีจำนวนศูนย์บริการมากที่สุดในประเทศไทย โดยพวกเขามีตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการทั่วประเทศมากกว่า 370 แห่ง ครอบคลุมทุกพื้นที่การให้บริการในประเทศไทย
เมื่อรวมความเชี่ยวชาญของช่างฝีมือที่ดูแลรถแค่ไม่กี่รุ่นมาโดยตลอด ประกอบกับการหันมาพัฒนามาตรฐานด้านศูนย์บริการอย่างจริงจังในครั้งนี้ ก็น่าจะลบภาพโชว์รูมและศูนย์บริการแบบเก่า ๆ ที่ไม่เน้นรูปลักษณ์แบบพรีเมียมไปได้ เมื่อโครงการลงทุนนี้สิ้นสุดลง