2020 Mitsubishi Outlander PHEV (มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์) เปิดตัวในประเทศไทยในปีที่ผ่านมา ด้วยการทำราคาไปท้าชนกับเอสยูวีสัญชาติญี่ปุ่นรุ่นท็อป แต่อาศัยความได้เปรียบในเรื่องของเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริด และความสามารถในการใช้งานรถยนต์ที่หลากหลายกว่ารถยนต์รุ่นอื่น ๆ ที่ทำตลาดอยู่ในระดับเดียวกัน
ความโชคร้ายของพวกเขาก็คือ การที่มีรถของคู่แข่งในเซกเมนต์เดียวกันที่มาพร้อมเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดเหมือนกัน มาทำตลาดในระดับราคาที่แตกต่างกันประมาณ 3-4 แสนบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่เยอะพอที่จะทำให้เกิดคำถามในใจผู้บริโภคทันทีว่า จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องจ่ายแพงกว่าให้กับรถใหม่ค่ายมิตซูบิชิคันนี้
หลังจากเปิดตัวไปไม่นาน เดิมทีค่ายตราเพชรสามแฉก เดิมทีมีแผนที่จะพานักข่าวไปทดสอบกันทางไกล แต่ก็ติดปัญหาเรื่องของโควิด-19 ระลอกใหม่ ทำให้ต้องปรับแผนกันไปมา และเพิ่งจะมาลงตัวกันกับการจัดทริปย่อย ๆ เล็ก ๆ พาขับรถวนเล่นในกรุงเทพมหานครและจังหวัดใกล้เคียงบนระยะทาง 222 กิโลเมตร
แถมยังเซตพื้นผิวแบบธรรมชาติกันให้ได้ลองระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออันลือชื่อกันแบบเต็มที่ เรียกว่าแม้จะไม่ได้ความรู้สึกของการขับขี่แบบใช้งานจริงในแบบที่ AutoFun Thailand จะต้องขอหยิบยืมรถมาทดสอบกันอีกรอบ แต่ก็ทำให้เราได้เห็นข้อดีและข้อเสียของรถคันนี้มากมาย จากการที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันครึ่งวัน
ทีมงานของมิตซูบิชิบอกว่า ลูกค้าของพวกเขานั้น กลุ่มหนึ่งมาจากเอสยูวีระดับท็อปด้วยกัน และบางส่วนนั้นมาจากลูกค้ารถยุโรป จากการได้มาลองสัมผัสถึงการตอบสนองอันยอดเยี่ยมของเครื่องยนต์และระบบช่วงล่าง ซึ่งแน่นอนว่ากลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อรถที่ราคาถูกอาจจะไม่ได้สนใจในเรื่องนี้มากนัก
ราคาจำหน่าย 2020 Mitsubishi Outlander PHEV |
รุ่น High-line |
1.640 ล้านบาท |
รุ่น Premium-Line |
1.749 ล้านบาท |
เรื่องที่เราชอบสำหรับ Mitsubishi Outlander PHEV
- ระบบอีวีที่ใช้งานได้จริง 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและ 55 กิโลเมตร
- Super- All Wheel Control ที่ทำให้ได้รถช่วงล่างแบบเทพ
- โหมดการขับขี่ที่หลากหลายตามความต้องการใช้งาน
- ห้องเก็บสัมภาระขนาดใหญ่ ผลพลอยได้จากเวอร์ชั่น 7 ที่นั่ง
- ไลฟ์สไตล์ของเจ้าของรถที่ใช้งานได้จริงกับปลั๊กไฟ 1500W
เรื่องที่เราไม่ชอบในมิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี
- ดีไซน์ด้านในของรถที่ดูล้าสมัยและน่าเบื่อ
- การตั้งราคาจำหน่ายที่ไม่ดึงดูดใจผู้บริโภค
- รุ่นใหม่กำลังจะเปิดตัวแล้วในอีกไม่นานนี้
ระบบ EV ที่ดีที่สุดคันหนึ่งที่เคยทดสอบมา
คงไม่เป็นการอวยเกินไป ถ้าจะบอกว่ามิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี คือรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่มีระบบการขับเคลื่อนแบบอีวีที่ดีที่สุดคันหนึ่งที่เคยทดลองขับมา ทั้งในเรื่องของพละกำลัง การส่งกำลังขับเคลื่อน ระยะทางที่สามารถขับขี่ได้จริง รวมไปถึงการบริหารจัดการพลังงานต่าง ๆ ของตัวรถ
ในวันที่ทำการทดสอบนั้น จากเมืองทองธานี วิ่งออกด้านหลังผ่านสะพานพระราม 4 เข้าราชพฤกษ์ออกไปถึงพุทธมณฑลสาย 3 ระยะทางประมาณ 53 กิโลเมตร รถที่วิ่งทำความเร็วเฉลี่ยแถว 80-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความเร็วสูงสุด 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เครื่องยนต์ไม่ได้ทำงานหรือส่งเสียงออกมาสักแอะ
ก็แสดงว่าที่ทีมงานของมิตซูบิชิบอกว่าสเปกของรถสามารถวิ่งด้วยระบบไฟฟ้าที่ความเร็วกว่า 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีระยะวิ่งถึง 55 กิโลเมตรนั้น ก็ไม่เป็นเรื่องที่เกินไป เพียงแต่แน่นอนว่า การออกตัวจะต้องไม่กดคันเร่งกระแทกกระทั้น จนเครื่องยนต์เริ่มทำงานกันเสียตั้งแต่ต้นเท่านั้นเอง เรื่องนี้ยกนิ้วให้เลย
รายละเอียดทางเทคนิค |
เครื่องยนต์ |
เบนซิน 4 สูบ MIVEC |
ขนาด |
2.4 ลิตร หรือ 2,359 ซีซี |
มอเตอร์ไฟฟ้า |
2 ตัว - ขับเคลื่อน 4 ล้อ |
พละกำลัง |
305 แรงม้า |
แรงบิด |
531 นิวตันเมตร |
แบตเตอรี่ |
ลิเธียม-ไอออน 13.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง |
ระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้าสูงสุด |
65 กม. |
อัตราบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิง |
52.6 กม.ต่อลิตร |
ระบบช่วงล่างที่ดีทั้งออนโรดและออฟโรด
สิ่งที่เรามองว่ายอดเยี่ยมก็คือการตอบสนองของช่วงล่างระบบ Super - All Wheel Control ซึ่งเป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาที่ติดตั้งมาให้ โดยทีมงานระบุว่าได้รับอิทธิพลมาจากรถสปอร์ตพันธุ์ดุอย่าง Mitsubishi Lancer Evolution ซึ่งรองรับการขับขี่ที่หลากหลายรูปแบบทั้งบนถนนและทางฝุ่นได้อย่างเยี่ยมยอด
ในการทดลองขับขี่นั้น ผมได้มีโอกาสขับบนถนนที่ความเร็วกลางและความเร็วสูง โดยมีทีมงานนั่งถ่ายวีดีโอในรถไปด้วยตลอดแบบไม่มีปัญหา ช่างภาพของผมสามารถประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ได้ทั้งด้านหน้าและด้านหลังของรถ โดยที่รถมีความสะดวกสบายดี กว้างขวาง โอ่อ่า ในแบบของรถสำหรับครอบครัวจากญี่ปุ่น
ขณะที่ในการทดลองขับบนเดิร์ทแทร็ค หรือทางฝุ่นเล็ก ๆ ที่จำลองการขับขี่แบบแรลลี่มา ตัวรถก็แสดงให้เห็นว่ามันนั้นควบคุมได้ไม่ยาก เพียงมีทักษะเล็กน้อยว่าควรหมุนพวงมาลัยหรือถอนคันเร่งอย่างไร รถก็สามารถบังคับไปในทิศทางที่ต้องการได้อย่างคล่องแคล่วสมกับที่โอ้อวดว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากอีโว
เลือกโหมดที่ใช่ ไปยันโหมดชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่
แม้ว่าการทำงานของระบบไฮบริดและอีวีของรถ อันประกอบไปด้วยระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ระบบไฮบริดแบบพาราเรล และระบบไฮบริดแบบซีรี่ส์ จะทำหน้าที่ของมันไปตามความเหมาะสมของสถานการณ์ ด้วยการเลือกเอาเองว่าเครื่องยนต์จะทำงานหรือไม่ ทำงานหนักขนาดไหนตามใจชอบ
ในเอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี ผู้ขับขี่ยังสามารถปรับโหมดการขับขี่ได้ตามที่ต้องการใช้งาน เช่น ในโหมดออฟโรดก็มีให้เลือกใช้งานได้บนถนนรูปแบบต่าง ๆ กันไป หรือหากต้องการวิ่งทำความเร็วสูง ก็มีโหมดสปอร์ตให้เลือกใช้งานได้ เรียกว่าเป็นเอสยูวีที่มีความหลากหลายและทางเลือกมากที่สุดอีกคันหนึ่งในท้องตลาด
นอกจากนี้ หากไม่ได้ชาร์จไฟรถผ่านวอลล์บอกซ์เอาไว้ แต่ต้องใช้โหมดขับขี่แบบอีวี ก็สามารถสั่งให้เครื่องยนต์นั้นปั่นกระแสไฟฟ้าเข้าในแบตเตอรี่ได้ด้วยเช่นกัน แถมยังปั่นได้ไวแบบไม่ธรรมดาเสียด้วย งานนี้ไม่ว่าจะต้องการใช้งานรถในโหมดที่แตกต่างหรือแปลกประหลาดขนาดไหน ก็ทำได้อย่างแน่นอน
ห้องเก็บสัมภาระด้านท้ายขนาดใหญ่เวอร์
แม้ว่าตัวถังจะดูแบน ๆ ยาว ๆ ไม่บึกบึนใหญ่โตเหมือนเพื่อน ๆ ที่ตีโป่งตัวรถกันมาอย่างเต็มที่ แต่ห้องเก็บสัมภาระของเอาท์แลนเดอร์นั้นใหญ่มากระดับขนอะไรก็ได้สบายมาก ทั้งชิ้นใหญ่หรือชิ้นสูง บานประตูไฟฟ้าด้านหลังนั้นก็เปิดขึ้นได้อย่างกว้างขวาง ขนสัมภาระเข้าออกได้อย่างสะดวกง่ายดายอีกด้วย
ส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะว่าเอาท์แลนเดอร์นั้นเป็นรถเอนกประสงค์แบบ 7 ที่นั่งในการทำตลาดในหลายประเทศทั่วโลก ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน และเมื่อพวกเขาเปลี่ยนมาเป็นเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ก็ต้องทำการถอดที่นั่งแถว 3 ออกไป แล้วทำการติดตั้งโมดุลควบคุมแบตเตอรี่เอาไว้ที่ตำแหน่งนั้นทดแทน
อย่างไรก็ตาม ทีมออกแบบได้ทำการปรับพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายให้มีความเรียบใหญ่ ทิ้งช่องใส่ของและช่องวางแก้วเอาไว้สำหรับกิจกรรมปิกนิก แม้จะไม่ได้ทำการอุดช่องโหว่เล็ก ๆ ที่ด้านท้ายของห้องเก็บสัมภาระ แต่ก็น่าจะเป็นช่องที่เจ้าของเอามาดัดแปลงใส่ขวดน้ำหรือชุดอุปกรณ์กันได้ไม่ยาก
มิติตัวถัง 2020 Mitsubishi Outlander PHEV |
ความยาว (มม.) |
4,695 |
ความกว้าง (มม.) |
1,810 |
ความสูง (มม.) |
1,710 |
ระยะฐานล้อ (มม.) |
2,670 |
ปลั๊กไฟ 1500W ที่ใช้งานได้อย่างจริงจัง
ในการทดสอบรถวันนี้ มิตซูบิชิได้ชูจุดขายที่สำคัญที่สุดของรถอีกอย่าง ก็คือการใช้งานปลั๊กไฟที่รองรับเครื่องใช้ไฟฟ้าสูงสุด 1500W โดยได้จำลองสถานการณ์การออกแคมป์ปิ้ง นำเอาเตาไฟฟ้ามาเสียบกับช่องแปลงไฟที่ด้านหลังของรถ ซึ่งสามารถทำอาหารเช้าได้อย่างไม่มีปัญหาอะไรกับทุกคนที่ได้ทดลอง
นอกจากนี้ ในห้องโดยสารที่เบาะหลังก็ยังมีปลั๊กไฟแบบเดียวกันให้ได้ชาร์จกันอีกตำแหน่ง เพื่อเอาใจผู้โดยสารที่นั่งอยู่ตอนหลัง ซึ่งแม้จะนำมาใช้งานกันได้อย่างเต็มที่ พวกเขาระบุว่าหากใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าต่อเนื่อง 1 ชั่วโมง ก็จะเปลืองกระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่รถยนต์เพียงแค่ 10% เท่านั้นเอง
ลองคิดถึงการเดินทางขึ้นดอยสูง ๆ พอไปถึงที่หมายก็เปิดท้ายรถ ยกหม้อต้มกาแฟ เตาปิ้งขนมปังมาตั้งที่ท้ายรถ เสียบปลั๊กแล้วใช้งานได้เลย ท้ายรถนั่งได้สบายกว้างขวาง มีที่วางแก้วให้ 2 ใบ น่าจะเป็นรถที่้สายท่องเที่ยวน่าจะชอบกันทีเดียว หากนำไปใช้งานในรูปแบบที่ว่าจริง ๆ หลังกระแสโควิด-19 ซาลง
ดีไซน์ยุคโบราณที่หน้าจอและระบบปรับอากาศ
ทีมงานของมิตซูบิชิสอบถามทุกคนหลังการทดสอบว่าเป็นอย่างไร มีอะไรดีหรือด้อยบ้าง หนึ่งในเรื่องที่เกือบทุกคนวันนั้นมองเห็นว่าเป็นจุดที่ต้องทำการแก้ไขปรับปรุงอย่างมาก ก็คือเรื่องของรูปลักษณ์ภายในห้องโดยสาร ที่ดูแล้วน่าจะอาการหนักกว่าภายนอกของรถที่ดูมีอายุในการทำตลาดมานานกว่าคู่แข่ง
แต่กับรถราคาล้านเจ็ดที่มาพร้อมหน้าจอสัดส่วนแปลก ๆ ที่แสดงผลแบบไม่คมชัดเท่าไหร่ แถมระบบปรับอากาศแบบกึ่งอัตโนมัติที่มาพร้อมมือหมุนเล็ก ๆ ในการควบคุม พร้อมด้วยฟอนท์ยุคอนาล็อกที่เหมือนถอดมาจากรถแท็กซี่ญี่ปุ่นเก่า ๆ ก็อาจจะทำให้ลูกค้าชะงักงันไปได้ในการเลือกจับจองเป็นเจ้าของ
นอกจากนี้ การออกแบบอื่น ๆ ในห้องโดยสารก็ถือว่าให้บรรยากาศของรถยนต์ยุคเก่า ๆ เบาะที่นั่งทรงเล็กที่มีการตัดเย็บที่ดี แต่ใช้ลวดลายแบบเก่า ๆ ไม่ได้ส่งเสริมราคาของรถสักเท่าไหร่ เอาล่ะว่ามันสบายจริง น่าใช้งานจริง แต่เมื่อคุณมองภายในของรถเทียบกับคู่แข่งแล้วก็ต้องยอมรับล่ะว่าด้อยกว่าจริง ๆ นะ
ราคาที่ไม่เร้าใจผู้บริโภคเท่าที่ควร
เอาจริง ๆ ตอนที่มิตซูบิชิจะเปิดตัวรถยนต์รุ่นนี้ พวกเขาได้ถามถึงความเป็นไปได้ของราคาจำหน่ายว่าควรจะอยู่ที่เท่าใด ซึ่งดูเหมือนหลาย ๆ คนที่ทักทายคุยกันนั้น ก็มีความเห็นไปในทิศทางใกล้เคียงกันว่าน่าจะอยู่ที่ระดับ 1.4-1.5 ล้านบาท เพราะตอนนั้นคู่แข่งอีกรายก็ประกาศราคาออกมารอต้อนรับอยู่แล้ว
เพราะหากมิตซูบิชิประกาศราคาจำหน่ายออกมาเริ่มที่หลัก 1.5 ล้านบาทจริง ๆ ก็มีโอกาสที่จะดึงลูกค้าออกมาจากโชว์รูมของคู่แข่ง ด้วยราคาที่ไม่แตกต่างกันจนเกินไป ทำให้ลูกค้าอาจจะตัดสินใจยอมลงทุนเพิ่มอีกเล็กน้อย เพื่อวิ่งเข้าหาแบรนด์ที่พวกเขาอาจจะมองว่าดีกว่าในเชิงภาพลักษณ์ของแบรนด์
แต่เมื่อราคาเริ่มต้นคือ 1.6 ล้านบาทกลาง ๆ แพงกว่าคู่แข่ง 3 แสนบาท ก็คงจะต้องให้พวกเขาไปหวังว่าลูกค้าเอสยูวีตัวท็อปของคู่แข่งที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล หรือจะดรอปลงมาจากรถยุโรปที่มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์ดีเซลและปลั๊กอินไฮบริด ซึ่งก็ไม่น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีของลูกค้ากลุ่มนั้นสักเท่าใด
ตัวใหม่กว่าจะเปิดตัวอยู่รอมร่อแล้ว
แม้จะบอกว่ารถยนต์รุ่นใหม่ที่จะเปิดตัวและมีทีเซอร์ออกมาให้เห็นมากมายนั้นจะมีแต่เฉพาะเครื่องยนต์เบนซินเท่านั้น แต่หากมองว่าพวกเขาจะยอมยกเลิกการทำตลาดเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่ขายดีที่สุดในโลกจริง ๆ หรือ แม้จะมีข่าวลือมานานแล้วว่าตลาดยุโรปอาจจะไม่ใช้ไพรออริตี้หลักก็ตามที
การที่เปิดตัวรถรุ่นนี้ในบ้านเราช้ามากจนรอให้มีข่าวคราวในตลาดโลกออกมาขนาดนี้ ไม่แน่ใจว่าเป็นการสื่อสารที่ผิดพลาดกันเองในทีมหรือไม่ เพราะแม้ผู้บริหารจะออกมายืนยันว่านี่คือรถรุ่นใหม่ที่สุดในการทำตลาดประเทศไทย แต่ก็มีหลายคนยอมรับล่ะว่า มันเปิดตัวในตลาดโลกมานานเกินไปแล้ว
ลูกค้านั้นเองก็ย่อมคาดหวังว่าจะได้ขับรถรุ่นใหม่ที่มีอะไรใหม่ ๆ กว่านี้ โดยเฉพาะการออกแบบภายนอกและห้องโดยสารภายใน ที่ควรจะต้องทำให้สมน้ำสมเนื้อกว่านี้ ยกเว้นแต่เป็นกลุ่มลูกค้าที่ต้องการสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยมเป็นหลัก ก็อาจจะไม่สนใจและเลือกซื้อรถรุ่นนี้ไปก่อนเลยตั้งแต่บัดนี้
ชอบสมรรถนะก็ซื้อ แต่ถ้าไม่ชอบรูปลักษณ์ก็ไม่ต้องรีบ
สิ่งที่เป็นจุดเด่นจริง ๆ ของ 2020 Mitsubishi Outlander PHEV คือเรื่องของสมรรถนะในการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม ที่เป็นโจทย์ใหญ่มากสำหรับพวกเขาที่ต้องทำอย่างไรก็ได้ ให้ลูกค้ายอมมาทำการทดสอบ และจะต้องทดสอบกันให้ครบทั้งเรื่องการจัดการพลังงานต่าง ๆ และการขับเคลื่อนของระบบช่วงล่าง
ก็แอบเสียดายเหมือนกันถ้าหากรถที่มีสมรรถนะดีขนาดนี้ จะต้องกลายเป็นรถที่ขายไม่ดีในตลาดประเทศไทย เพียงเพราะหน้าตาของรถอาจจะดูไม่ดีพอ ซึ่งเอาเถอะว่า มิตซูบิชิเองก็คงมีเหตุผลลึก ๆ ที่ไม่สามารถระบุออกมาได้ ว่าทำไมประเทศไทยถึงได้ใช้รถที่มีอายึการทำตลาดโลกมายาวนานขนาดนี้
การบ้านที่ใหญ่มากที่มิตซูบิชิคงได้คำตอบแล้วก็คือ การหากลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการรถกลุ่มนี้ออกมาให้ได้ ซึ่งเอาตรง ๆ ตัวรถนั้นมีข้อดีมากมายมหาศาลที่สามารถใช้เป็นจุดขายได้อย่างสบาย แม้จะเปรียบเทียบกับคู่แข่งที่ถูกกว่า หรือราคาใกล้เคียงกัน ก็ยังถือว่าเป็นรถที่พร้อมท้าชนในทุกมิติ
ข้อดีก็เยอะ ข้อพลาดก็มีบ้าง... ที่เหลือให้ลูกค้าตัดสินละกัน!!!