AutoFun Thailand นำรถทดสอบรุ่นนี้ที่มีราคาจำหน่าย 1.029 ล้านบาท ย่อมเยาลงมาจากรุ่นท๊อปที่มาพร้อมเครื่องยนต์เทอร์โบคู่ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่ทำราคาที่ 1.265 ล้านบาท ราคาจำหน่ายที่แตกต่างกัน 2.36 แสนบาท อาจจะทำให้คนสงสัยว่ามันมีอะไรแตกต่างกันบ้าง
แต่อย่างที่บอกไป หลาย ๆ คนอาจจะยอมจ่ายเพิ่มเพื่อไปเอาของเล่นให้ครบ ๆ แต่หากต้องการความหล่อ อารมณ์ยกสูง และความสามารถในการลุยแบบง่าย ๆ ตัวเลขนั้นก็ถือว่ามากพอที่จะเอาไปจ่ายค่าอื่น ๆ ได้เป็นปีเลยนะ ก็ลองมาดูว่าโดนใจกับความต้องการหรือเปล่าละกันนะ...
ราคาจำหน่าย Ford Ranger Wildtrak |
2.0L Bi-Turbo 10AT |
1.265 ล้านบาท |
2.0L Turbo HR 10AT |
1.029 ล้านบาท *** |
2.0L Turbo HR 6MT |
9.79 แสนบาท |
ความแตกต่างจากงบ 2.36 แสนบาท
แน่นอนว่าสิ่งที่แตกต่างกันอย่างแน่นอนก็คือเครื่องยนต์ที่ในรุ่นท็อปจะมาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ 213 แรงม้า 500 นิวตันเมตรและระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ รุ่นล่างเป็นเทอร์โบเดี่ยว 180 แรงม้า 420 นิวตันเมตร และมาพร้อมระบบขับเคลื่อนสองล้อแบบยกสูง
เมื่อระบบขับเคลื่อนเปลี่ยนไป สิ่งที่พ่วงกับระบบก็ไม่เท่ากันด้วย โดยในรุ่นท็อปจะมาพร้อมกับระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา แต่รุ่นรองมาพร้อมระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชันแบบธรรมดา และแถมพ่วงระบบลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำมาเพิ่มความปลอดภัย
ภายนอกนั้นเหมือนกันไปทั้งหมด ยกเว้นขนาดความสูงของรถที่รุ่นท็อปจะสูงกว่า 33 มิลลิเมตร พร้อมทั้งมีแผ่นกันกระแทกใต้ท้องรถมาให้ ขณะที่ด้านข้างรถจะใช้แบดจ์ที่แตกต่างกันตามเครื่องยนต์อยู่แล้ว และมาพร้อมฝาปิดกระบะควบคุมด้วยไฟฟ้าเหมือนกันในทั้ง 2 รุ่น
ระบบช่วยเหลือด้านการขับขี่ก็แตกต่างกันเล็กน้อย โดยแม้จะมาพร้อมระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเหมือนกัน แต่รุ่นท็อปจะมีระบบรักษาระยะห่างแบบอัตโนมัติมาให้ พร้อมติดตั้งระบบช่วยจอดอัจฉริยะมาให้เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งไปติดตั้งเพิ่มก็ไม่ได้นะ
ในรถนั้นแตกต่างกันที่ช่องต่อยูเอสบีที่กระจกมองหลังสำหรับรุ่นบนเท่านั้น นอกจากนี้ ก็เป็นระบบด้านความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมรถให้อยู่ในเลน ระบบเตือนการชนด้านหน้า พร้อมเบรคอัตโนมัติที่จับคนเดินถนนได้ รวมถึงระบบไฟสูงอัจฉริยะก็มีมาให้
มองแบบนี้จ่ายเพิ่มก็คุ้มค่าอยู่เหมือนกันนะ...
ภายนอกปรับมาใหม่ ไฉไลกว่าที่ควร
ถ้าภาพลักษณ์ของรถกระบะที่เน้นความแข็งแกร่งบึกบึนคือภาพลักษณ์ที่ติดตาของเรนเจอร์ในความคิดของใครหลาย ๆ คน ผมมองว่าเรนเจอร์โฉมนี้ไม่ได้เน้นการออกแบบที่เล่นลวดลายความบึกบึนมากมาย แต่เหมือนจะพยายามเอาใจกลุ่มใช้งานเชิงสันทนาการมากขึ้น
การตกแต่งด้านหน้านั้นมีการเปลี่ยนแปลงหลัก ๆ ที่กระจังหน้าของตัวรถที่นำช่องกรอบสีส้ม ๆ มาติดไว้ด้านใน พร้อมทั้งเพิ่มชุดแต่งสีดำมันรอบคันรถในตำแหน่งต่าง ๆ พร้อมบันไดข้างแบบสีดำ ชุดแต่งกระบะตกแต่งด้วยสีส้มและแถบสีเทา ซึ่งบางทีก็แอบเยอะไปนิด
ฝาท้ายแบบผ่อนแรงและฝาปิดกระบะแบบควบคุมด้วยไฟฟ้า ที่สั่งงานอย่างง่ายดายผ่านรีโมทคอนโทรล เป็นอุปกรณ์ที่ฟอร์ดควรเอามาจำหน่ายเพิ่มอย่างเป็นทางการ กระบะนั้นมีไลน์เนอร์มาให้เรียบร้อย พร้อมด้วยช่องต่อไฟแบบ 12 โวลต์แบบครบครัน
ไฟหน้าแบบแอลอีดีโปรเจคเตอร์ พร้อมไฟวิ่งเวลากลางวันแบบแอลอีดี และระบบเปิด-ปิดไฟหน้าแบบอัตโนมัติ ไฟเบรกดวงที่ 3 พร้อมด้วยไฟส่องสว่างกระบะท้ายติดตั้งมาให้ พร้อมด้วยสปอร์ตบาร์และราวหลังคา ที่สามารถนำไปติดตั้งอุปกรณ์ต่อเพิ่มได้อย่างง่ายดาย
ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ใหญ่ที่สุดในกลุ่มรถกระบะรุ่นท็อปลวดลายเดิม ๆ พร้อมสีดำมัน มาพร้อมยางไฮ-เทอเรนขนาด 265/60 R18 เพิ่มความแข็งแกร่งบึกบึนให้กับรถ คนอื่นอาจจะชอบก็ได้นะ แต่ผมชอบดีไซน์แบบเดิม ๆ ที่ไม่เติมอะไรเยอะขนาดนี้มากกว่านิดนึง
มิติ Ford Ranger WT 2.0L Turbo HR 10AT |
กว้าง |
1,867 มิลลิเมตร |
ยาว |
5,376 มิลลิเมตร |
สูง |
1,815 มิลลิเมตร |
ระยะฐานล้อ |
3,220 มิลลิเมตร |
ความสูงใต้ท้องรถ |
230 มิลลิเมตร |
ดำน้ำได้สูงสุด |
800 มิลลิเมตร |
วงเลี้ยว |
12.7 เมตร |
ภายในปรับแบบคอสเมติค ระบบครบครันอยู่แล้ว
เปิดประตูเข้ามาในห้องโดยสารจะพบบรรยากาศอันคุ้นเคยแบบเดิม ๆ ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ 8 นิ้วตรงกลางแบบสัมผัส ที่ใช้ในการออกคำสั่งระบบต่าง ๆ ได้ทั้งคันรถ รองรับการสั่งงานด้วยเสียงภาษาไทย และการเชื่อมต่อแอปเปิลและแอนดรอยด์
แน่นอนว่าคนที่ยังฟังแผ่นเอ็มพี3 อยู่ สามารถนำแผ่นเพลงขึ้นมาเล่นได้นอกเหนือจากการเชื่อมต่อสารพัดรูปแบบ ระบบนำทางติดตั้งมาบนหน้าจอเรียบร้อย มีการขยับช่องยูเอสบีมาไว้ด้านนอกตรงตำแหน่งของช่องเสียบไฟ 12 โวลต์แทน ทำให้เสียช่องเสียบไฟไป 1 จุด
แต่ก็มากมายพออยู่ดี เพราะรถคันนี้มาพร้อมช่องเสียบไฟแบบ 230 โวลต์ที่ด้านหลังที่วางแขนกลางรถ พร้อมด้วยช่องแช่เย็นแบบใช้งานได้จริงที่ใต้ที่วางแขน พวงมาลัยมัลติฟังชั่นส์ที่ใช้งานเหมือนรุ่นเก่า ๆ และตัดปุ่มควบคุมระบบต่าง ๆ ที่ไม่มีออกไปเป็นที่เรียบร้อย
ระบบปรับอากาศของรถแยกอิสระซ้าย-ขวา แต่ยังไม่ติดตั้งช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลังมาให้เสียที หน้าปัดอันคุ้นเคย ตรงกลางกลมโตแบบอนาล็อก ด้านข้างเป็นจอสีทีเอฟทีขนาด 4.2 นิ้วบอกข้อมูลละเอียดยิบ เอาเป็นว่าเจ้าของขึ้นมาเรียนรู้หน้าจอนี้ก็เสียเวลาเอาเรื่อง
การตกแต่งในรถทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเบาะที่นั่ง แผงข้างประตู พวงมาลัยและหัวเกียร์ ล้วนแล้วแต่เป็นเฉพาะรุ่นไวล์ดแทร็คทั้งหมด กุญแจรีโมทพร้อมปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์มีมาพร้อม แต่สตาร์ทรถก่อนเข้าเครื่องเพื่อเปิดแอร์ให้เย็นฉ่ำยังทำไม่ได้นะ
เครื่องยนต์ไหลลื่นและระบบที่มากพอตัว
แม้จะเป็นรุ่นรองท็อปที่โดนตัดทอนอะไรไปมากมายแล้วก็ตาม แต่ด้วยศักดิ์ศรีของผู้นำด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมระปิกอัพมานาน ฟอร์ด เรนเจอร์เองก็มีหลายอย่างที่คู่แข่งยังไม่สามารถพัฒนาตามมาได้ และเป็นจุดขายที่น่าสนใจอยู่หลายประการในรถคันนี้
เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ที่เลือกเพิ่มกำลังด้วยการเลือกใช้เทอร์โบชาร์จเจอร์ ส่งผลให้มีกำลังสูงสุด 180 แรงม้าที่ 3,500 รอบต่อนาที พร้อมด้วยแรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ 10 สปีด พร้อมโหมดเปลี่ยนเกียร์
รองรับน้ำมันเชื้อเพลิงสูงสุดไบโอดีเซล บี20 พร้อมผ่านมาตรฐานไอเสียยูโรระดับ 4 ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบอิสระปีกนก 2 ชั้น พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง ระบบกันสะเทือนหลังเป็นแหนบซ้อน พวงมาลัยพาวเวอร์แบบผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า
ระบบดิสก์เบรกด้านหน้า พร้อมด้วบครีบระบายความร้อน ด้านหลังยังคงใช้ดรัมเบรกอยู่ มาพร้อมเฟืองท้ายแบบ Locking Rear Differentail ที่ช่วยเพิ่มสมรรถนะในการขับขี่ได้ ตัวรถมาพร้อมคานเหล็กนิรภัยด้านข้าง พร้อมถุงลมนิรภัย 6 จุด ที่คู่หน้า ด้านข้างและม่านถุงลม
ระบบช่วยเหลือด้านการขับขี่มีมาให้ทั้งระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชันและระบบลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ ที่ทำงานแบบอัตโนมัติเพื่อเพิ่มความปลอดภัย
เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุดถูกติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับทุกที่นั่ง ด้านหน้าจะมาพร้อมระบบดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกล้องมองหลัง และสัญญาณเตือนกะระยะถอยจอดรอบคัน จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก พร้อมระบบช่วยโทรฉุกเฉิน
เอาจริง ๆ ทั้งเรื่องของสมรรถนะเครื่องยนต์ การส่งกำลัง รวมไปถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มีมาให้อย่างครบครัน ก็น่าจะพอพูดได้ว่าฟอร์ดเองมีมาตรฐานสำหรับตลาดปิกอัพระดับพรีเมียมที่ดีมาก เพราะว่าคู่แข่งบางรายที่เปิดตัวมาทีหลัง ยังให้ของมาไม่ได้ขนาดนี้เลยนะ
รายละเอียดทางเทคนิค |
เครื่องยนต์ |
ดีเซล เทอร์โบ |
ความจุ |
1,996 ซีซี. |
กำลังสูงสุด |
180 แรงม้า |
แรงบิดสูงสุด |
420 นิวตันเมตร |
ระบบส่งกำลัง |
อัตโนมัติ 10 สปีด |
ระบบขับเคลื่อน |
2 ล้อหลัง |
ระบบควบคุม |
พาวเวอร์ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า |
กันสะเทือนหน้า |
อิสระ ปีกนก 2 ชั้น |
กันสะเทือนหลัง |
แหนบซ้อน |
ระบบเบรกหน้า |
ดิสก์เบรก |
ระบบเบรกหลัง |
ดรัมเบรก |
รองรับเชื้อเพลิง |
ไบโอดีเซล บี20 |
มาตรฐานไอเสีย |
ยูโร 4 |
ลองขับแล้วเป็นอย่างไรกันบ้างนะ
เอาจริง ๆ ฟอร์ด เรนเจอร์นั้นเป็นรถที่ผมค่อนข้างคุ้นมือมากเป็นพิเศษ เพราะเป็นรถที่ตัวเองใช้ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว แต่เป็นรุ่น 3.2 ลิตร ไวล์ดแทร็ค ขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งเป็นรุ่นสุดท้ายก่อนที่ฟอร์ดจะเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์เล็กลงแล้วใส่เทอร์โบเสริมพลังแทน
ต้องบอกว่าก่อนที่ค่ายรถต่าง ๆ จะทำการปรับพลังของเครื่องยนต์ หรือการตกแต่งด้วยชุดแต่งมาตรฐานจากโรงงาน ฟอร์ดนั้นยืนหนึ่งกับไวล์ดแทร็คมาโดยตลอด และอาจจะบอกว่าเป็นรถที่ได้รับการยอมรับจากมหาชนชาวผู้ใช้ฟอร์ดกันอย่างมาก จนเราเห็นวิ่งเต็มถนนไปหมด
การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ เรียกได้ว่าฟอร์ดแทบจะไม่ได้เปลี่ยนในเรื่องของการขับขี่ หรือฟีลลิ่งในการใช้งานรถไปแม้แต่น้อย พวงเขายังเซตช่วงล่างแนวนุ่มนวลชวนหลับมาเหมือนเดิม จนเมื่อเข้าทางป่าเขาแล้ว จะมีอาการโยกโยนของช่วงล่างออกมาอย่างเห็นได้ชัดเจน
แต่อาการโยนตัวนั้นก็ไม่ได้ทำให้ความมั่นใจในการขับขี่รถคันนี้ลดลงแต่อย่างใด เอาเป็นว่า ถ้าความต้องการของคุณอยู่ที่การใช้งานในเมืองเป็นหลัก ออกไปต่างจังหวัดแค่เจอทางฝุ่นทางหิน ลุยน้ำบ้างเล็กน้อยพอขำขำ ไม่ได้บุกป่าฝ่าภูเขาเผากระท่อม ก็เอาอยู่แน่นอน
เครื่องยนต์ที่ให้มานั้นเป็นการผสานการทำงานของดีเซลและเทอร์โบอย่างแยบยล คือมีการส่งกำลังได้อย่างต่อเนื่องไหลลื่น เรียกว่าเทียบกับเครื่องเล็กของคู่แข่งไม่มีทางแพ้ใครอย่างแน่นอน เผลอ ๆ ไปวัดกับรุ่นใหญ่ ก็ยังให้ฟีลการตอบสนองที่ดีกว่าในช่วงออกตัวด้วยซ้ำ
ในด้านของอุปกรณ์ที่ติดตั้งมาให้นั้น ถ้าจะมองว่าการไมเนอร์เชนจ์ครั้งนี้ ฟอร์ดไม่ได้ใส่อะไรมาเพิ่มเติมมากนัก มันก็น่าจะเป็นเพราะว่า พวกเขานั้นได้ให้มาอย่างเต็มที่แล้วตั้งแต่โฉมก่อนหน้า แล้วก็ทำได้แค่นั่งรอคู่แข่งค่อย ๆ ไหลมาเพิ่มอุปกรณ์เรื่อย ๆ จนเรียกว่าเกยกันพอดีแล้ว
ยิ่งในยุคหลัง ๆ นี้ ค่ายรถทุกค่ายที่ทำตลาดรถปิกอัพ ต่างก็ออกกระบะตัวแต่งของตัวเอง พร้อมเวอร์ชั่นแต่งหล่อ ยกสูงขับสองออกมากันหมดครบทุกค่าย เหลือแค่ Mazda (มาสด้า) ที่เพิ่งเปิดตัว Mazda BT-50 (มาสด้า บีที-50) แต่ก็มีข่าวลือนะว่าอาจจะทำในไม่ช้าเหมือนกัน
โดยรวมความแล้ว ส่วนตัวผมคิดว่าฟอร์ดนั้นรักษามาตรฐานของตัวเองเอาไว้ได้ค่อนข้างดีในการพัฒนารถปิกอัพแบบปรับนิดหน่อย แม้ส่วนตัวจะไม่ชอบหน้าตาที่ดูจิ้มลิ้มไปหน่อยก็เถอะ แต่ก็เชื่อว่าทีมดีไซเนอร์เองก็คงคิดมาแล้วว่าอยากให้ออกมาเพื่อจับกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ บ้าง
ในส่วนอื่น ๆ นั้น ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ ความสะดวกสบายในการใช้งาน ความมั่นใจในการเป็นเจ้าของที่มีการขยายเวลาการรับประกันออกไป ก็น่าจะทำให้คำถามด้านคุณภาพของตัวรถที่หลาย ๆ คนกลัว ๆ กันนั้น พอจะบรรเทาลงไปได้ เพราะฟอร์ดก็เทหมดหน้าตักแล้วเหมือนกันนะ
เอาเป็นว่าใครสนใจกระบะแนวนี้ ก็อย่าลืมรับฟอร์ด เรนเจอร์ ไว้พิจารณานะ...
RIVALS
Toyota Hilux REVO Double Cab Prerunner 2x4 2.4 Rocco AT - 1.079 ล้านบาท
Toyota นั้นมี Toyota Hilux REVO Rocco รุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ ยกสูง ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ 2.4 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ที่มีการติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ มากมายอย่างน่าใช้งาน ไว้เอาใจกลุ่มลูกค้าที่ชอบรถปิกอัพแต่งสวย
Isuzu X-Series Hi-Lander 4-Door A/T - 9.74 แสนบาท
Isuzu ก็มีตัวแต่งสุดโหดแบบยกสูงขับเคลื่อน 2 ล้อ ในรุ่น Isuzu X-Series Hi-Lander ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 1.9 ดีดีไอ เทอร์โบอันลือชื่อ ให้สมรรถนะสูงสุด 150 แรงม้า พร้อมด้วยแรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ชุดแต่งรอบคันตกแต่งมาอย่างสปอร์ตเหนือชั้น ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย
Nissan Navara Pro2X - 9.99 แสนบาท
Nissan มาพร้อมตัวแต่งขับเคลื่อนสองล้อที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า Nissan Navara Pro2X โดดเด่นด้วยการออกแบบด้านหน้าของรถ รวมถึงชุดแต่งรอบคัน เครื่องยนต์ 2.3 ลิตร เทอร์โบคู่ 190 แรงม้า 450 นิวตันเมตร เกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ซึ่งถือว่าดีไซน์ใหม่นั้น โดดเด่นอย่างเอาเรื่อง
Mitsubishi Triton Athlete GT - 9.85 แสนบาท
Mitsubishi Triton Athlete GT คือรถกระบะตกแต่งรุ่นพิเศษที่ค่าย Mitsubishi เปิดตัวเอาใจลูกค้า ด้วยการเลือกใช้พื้นฐานขับสองยกสูง จับคู่กับเครื่องยนต์ขนาด 2.4 ลิตร กำลัง 181 แรงม้า แรงบิดสูงสุดที่ 430 นิวตันเมตร เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ที่ดูเหมือนออพชั่นจะน้อยกว่าคู่แข่งเหมือนกัน
Mazda BT-50 ล่ะ จะมาไหม...
Mazda เองเคยระบุว่าพวกเขาอยากจะขยายไลน์อัพสินค้าให้กับ Mazda BT-50 เหมือนกัน ซึ่งเมื่อเป็นฝาแฝดกับผู้นำตลาด หากมีการทำจริงก็น่าจะไม่แตกต่างกันมาก ด้วยเครื่องยนต์ 1.9 ลิตร 150 แรงม้า 350 นิวตันเมตร ว่าแต่ว่า เจ้าตลาดเขาจะยอมให้ทำออกมาไหมล่ะนั่น...