ก็เลยทำให้รถคันนี้ได้รับการปรับปรุงรูปโฉมและเทคโนโลยีใหม่มาพร้อมกันหลายจุด และเมื่อมาเปิดตัวในประเทศไทย พวกเขาก็เรียกเสียงฮือฮาด้วยการทำราคารุ่นเริ่มต้นลงไปที่ 1.199 ล้านบาท พร้อมรุ่นท็อปอย่างตัวที่นำมาทดสอบก็ถือว่าทำราคาดีที่ 1.499 ล้านบาท
AutoFun Thailand ได้รับรถทดสอบคันนี้มาตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม แบบยังไม่รู้เรื่องราคา และพบว่านิสสันมีการเพิ่มอุปกรณ์ที่น่าสนใจเข้ามาหลายชิ้น หลายระบบก็จริง แต่ก็มีอุปกรณ์หลาย ๆ ตัวที่ถูกตัดออกไป ด้วยเหตุผลทางด้านของการตั้งราคาจำหน่ายให้รถ
รูปร่างหน้าตาดุดัน ออพชั่นในรถเพิ่มมาเยอะขึ้น แต่ความรู้สึกของการขับขี่นั้นไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมนัก เว้นแต่เรื่องของพวงมาลัยที่ปรับอัตราทดให้คล่องขึ้น และเบรกที่หนึบขึ้นจากการใส่เบรกหลัง ซึ่งก็เพียงพอที่จะทำให้คุ้มค่าตัวที่ถือว่าไม่แพงเมื่อเทียบในคลาส
แต่อุปกรณ์หลายตัวที่ขาดหายไปนี่ ต้องรอไมเนอร์เชนจ์อีกรอบจะมาไหมนะ...
การออกแบบภายนอกที่บึกบึน แข็งแรงแบบเอสยูวีใหญ่
นิสสันคุยว่าการออกแบบภายนอกของรถคันนี้นั้นมีการเปลี่ยนแปลงใหม่เกือบทั้งคัน โดยหากไม่นับบานประตู 4 บานของรถคันนี้ ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด ภายนอกมาพร้อมกระจังหน้าขนาดใหญ่ ที่มีการเพิ่มพื้นที่ของโครเมียม 3.5 เท่า เพื่อให้ได้ความพรีเมียม
ชิ้นส่วนของการ์ดด้านล่างเพิ่มขึ้นมาใหม่ พร้อมกับการติดตั้งเซนเซอร์ด้านข้างให้อีก 2 ตำแหน่ง โดยจะเตือนวัสดุกีดขวางที่ความเร็วต่ำกว่า 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มาพร้อมชุดโคมไฟหน้า Quad LED ที่มีไฟต่ำ 2 ดวงและไฟสูง 2 ดวง ให้ความสว่างเพิ่มขึ้นจากเดิม 34%
ชุดไฟหน้ายังมาพร้อมระบบเปิด-ปิดไฟแบบอัตโนมัติ ไฟตัดหมอกหน้าออกแบบใหม่ ติดตั้งกระจก Acoustic Glass ช่วยเก็บเสียงที่จะเข้ามาในตัวรถ ติดตั้งกล้องด้านหน้าเหนือกระจกบังลม ใช้กับระบบความปลอดภัย และติดตั้งกล้อง 4 ตัวสำหรับกล้อง 360 องศา
รุ่นท็อปมาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ลาย 6 ก้านแบบทูโทน พร้อมยาง 255/60 R18 ของบริดจ์สโตน ดิสก์เบรกหน้าเพิ่มขนาดเป็น 360 มิลลิเมตร และครั้งแรกของโลกกับดิสก์เบรกหลังขนาด 330 มิลลิเมตร ที่ช่วยให้สามารถควบคุมรถคันนี้ได้อย่างมั่นใจในทุกความเร็ว
การออกแบบชิ้นส่วนด้านข้างตัวรถมีการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกาบบันไดข้าง แร็คหลังคาลายใหม่ และเสาอากาศแบบครีมฉลามที่ดูพรีเมียมกว่าเดิม กระจกข้างมาพร้อมไฟเลี้ยว กล้องด้านข้าง ที่ติดตั้งระบบเตือนรถในจุดบอดเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
การเปลี่ยนแปลงด้านท้ายนั้นเยอะมากจนแทบจะเป็นรถคันละคัน มีความตั้งใจในการออกแบบให้เป็นรถเอสยูวีคันใหญ่มากขึ้นด้วยการตีโป่งฝาท้ายออกมา พร้อมกับเพิ่มโครเมียมชิ้นใหญ่ และติดตั้งสปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่ พร้อมไฟเบรกดวงที่สามมาให้พร้อม
ชุดไฟท้ายออกแบบมาอย่างสวยงาม 3 มิติ ที่ให้การส่องสว่างมากขึ้น และดูเรียบหรูไปพร้อม ๆ กัน ล้ออะไหล่ติดตั้งที่ด้านใต้ของตัวรถ มาพร้อมประตูหลังแบบไฟฟ้าที่เปิดได้หลายรูปแบบรวมถึงการสอดเท้าเข้าใต้กันชน มาพร้อมโช็คที่ดูแข็งแรง เปิด-ปิดได้อย่างง่ายดาย
ภายในก็ปรับเยอะ เน้นเอนเตอร์เทนเต็มที่
นิสสันได้ปรับห้องโดยสารภายในเพื่อเอาใจกลุ่มลูกค้าครอบครัวมากขึ้น ไม่ใช่แค่การเป็นรถยนต์ 7 ที่นั่ง แต่มีการเพิ่มฟังชั่นส์สำหรับการเดินทางและการทำงานเข้ามา ห้องเก็บสัมภาระด้านท้ายขนาดใหญ่ พับเบาะแถว 3 ลงมาได้เรียบ โดยมีการทำกล่องเพื่อให้เป็นพื้นราบไว้
เบาะที่นั่งตอนที่ 3 มีลักษณะค่อนข้างสูงชัน ไม่เหมาะสำหรับผู้ใหญ่ที่จะนั่งโดยสารในระยะยาว แม้จะมีทั้งระบบปรับอากาศและเบาะแบบพับเอนได้หลายสเตปมาให้แล้วก็ตาม แต่ซุ้มล้อที่ค่อนข้างใหญ่ก็ยังเบียดตำแหน่งการนั่งอยู่ดี ทำให้อาจจะนั่งทางไกลกันไม่ไหว
อย่างไรก็ตาม เบาะที่นั่งแถมสามถือว่ามีอุปกรณ์ครบครัน ทั้งที่วางแก้ว เข็มขัดนิรภัย รวมไปถึงช่องยูเอสบีพอร์ตสำหรับชาร์จไฟ และพอร์ต HDMI ที่ติดตั้งอยู่ที่ตำแหน่งที่วางแก้ว ซึ่งเชื่อมต่อกับหน้าจอ 11 นิ้วกลางรถ และมาพร้อมฟังชั่นส์ที่ปรับใช้ได้ตามต้องการ
เบาะผู้โดยสารแถว 2 ที่สามารถปรับสเตปได้ 1 สเตปและเลื่อนขึ้นหน้าถอยหลังได้ ยังคงพับได้ด้วยระบบสัมผัสเดียวเพื่อเข้าสู่ห้องโดยสารแถว 3 ซึ่งระบบนี้ดีมากนะครับ ปรับง่ายกว่าเบาะไฟฟ้าเสียอีก แถมมีตำแหน่งการนั่งที่สูงและมีทัศนวิสัยที่ดีมากเสียด้วย
เบาะนั่งรับน้ำหนักของหลังและก้นได้เป็นอย่างดี ผู้โดยสารสามารถสนุกสนานไปกับภาพยนต์ที่ฉายบนหน้าจอกลางได้ เพราะนิสันแถม Mi Stick มาให้เรียบร้อยในรถ และเชื่อมต่ออินเตอร์เนตผ่านโทรศัพท์ได้อย่างง่ายดาย และมาพร้อมระบบเสียงดอลบี้กระหึ่มชัด
แต่หากไม่ต้องการใช้จอสำหรับการชมภาพยนต์ก็สามารถใช้เชื่อมต่อเพื่อทำอย่างอื่นได้ เช่น ในเป็นจอคอมพิวเตอร์ที่สอง หรือการเชื่อมต่อเพื่อดูข้อมูลหรือรูปภาพผ่านพอร์ตเอชอีเอ็มไอ โดยเบาะกลางก็มีให้ทั้งแอร์ด้านบนและตรงกลางรถ ที่วางแขนพร้อมที่วางแก้ว
เครื่องเสียงในรถปรับมาใช้ของ Bose ทั้งหมด เพราะฉะนั้นคุณภาพเสียงหายห่วง และยังสามารถเลือกปรับตำแหน่งการปล่อยเสียงได้ตามใจชอบ การตกแต่งห้องโดยสารสามารถเลือกสีทูโทนได้ระหว่างสีแดง-ดำแบบคันที่นำมาขับ หรือไม่ก็เลือกสีเบจ-ดำ ได้อีกสี
หน้าจอกลางปรับเพิ่มขนาดเป็น 9 นิ้ว พร้อมรองรับการใช้งานไว-ไฟ แอปเปิลคาร์เพลย์ พร้อมหน้าจอแสดงผลขนาดเล็ก 7 นิ้วที่ด้านหลังพวงมาลัย การควบคุมระบบต่าง ๆ ในรถจะทำผ่านหน้าจอเล็กทั้งหมดและระบบเอนเตอร์เทนทั้งหมดจะผ่านหน้าจอกลางทั้งหมด
อุปกรณ์ต่าง ๆ เพิ่มเติมมาให้ครบครัน ทั้งที่ชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย ที่เอาจริง ๆ ใช้งานยากไปนิด เพราะต้องวางให้ตรงตำแหน่งแบบไม่มีที่ล็อกมาให้ มียูเอสบีสำหรับชาร์จไฟทั้งสองแบบ ติดตั้งเบรกมือไฟฟ้ามาให้ แต่ไม่มีระบบออโต้เบรกโฮลด์ที่กั๊กเอาไว้
กระจกมองหลังมาพร้อมระบบกล้องดิจิตอลในตัวเป็นรุ่นเดียว เหมาะสำหรับการขับขี่ที่ต้องบรรทุกสัมภาระขนาดใหญ่บังกระจกหลัง ก็ใช้ระบบนี้มองแทนได้ เบาะนั่งใหม่มออกแบบมาแน่น รองรับน้ำหนักดี แต่เข่าแอบลอย และให้ปรับไฟฟ้ามาตำแหน่งเดียว
เข็มขัดนิรภัยแบบปรับระดับได้ ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ พร้อมด้วย Push Start พวงมาลัยแบบ D-Shape ที่เพิ่มความสะดวกในการเข้าออกห้องโดยสาร ปรับได้แค่ขึ้นและลงเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดนี้ นิสสันให้เหตุผลว่าเป็นการควบคุมเรื่องต้นทุนเป็นหลัก
เครื่องยนต์เดิม เกียร์เดิม แต่เพิ่มความคล่องตัวอื่น ๆ
ฝาห้องเครื่องของเทอร์ร่านั้นควรได้รับการปรับปรุงเป็นการด่วน เพราะน้ำหนักและตำแหน่งของการยึดที่อยู่ค่อนข้างสูง หากเป็นผู้ใช้งานที่ตัวเล็กหรือไม่แข็งแรงพอ โอกาสที่จะโดนกระโปรงหน้าทับมีสูงมาก จะบอกว่าปกติไม่ต้องเปิดเลยก็คงไม่ใช่หรอกนะ
เครื่องยนต์ยังคงเป็นเครื่องยนต์ดีเซล 2.3 ลิตร เทอร์โบคู่ ที่ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า พร้อมด้วยแรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตรที่ 1,500-2,500 รอบต่อนาที แต่มีการปรับให้รองรับเชื้อเพลิง B20 ได้ และนิสสันคุยว่ามีการปรับรอบเดินเบา เพื่อให้การออกตัวนั้นเรียบกว่าเดิม
การส่งกำลังยังเป็นหน้าที่ของเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ พร้อมทั้งมีการปรับอัตราทดของพวงมาลัยให้มีรอบที่หมุนลดลงและมีความคล่องตัวเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสามารถรู้สึกได้ทั้งการขับขี่บนถนนและในเส้นทางออฟโรด ว่ารถมีความคล่องตัวเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยจริง ๆ
เมื่อลองเอารถไปลงแทร็คออฟโรดแบบง่าย ๆ พื้นดินนุ่ม ๆ ก็จะพบว่ารถมีอาการตอบสนองต่อพื้นผิวที่เปลี่ยนไปได้ดี มีอาการโยกโยนน้อยลง ให้ความนุ่มนวลกับผู้โดยสารในทุกตำแหน่งมากขึ้น แต่ไว้มีโอกาสจะเอาไปลุยหนัก ๆ สักรอบ ว่ารถนั้นไปได้ไหวหรือไม่
เครื่องยนต์รุ่นนี้ หากเติมน้ำมันเชื้อเพลิง B7 หรือ B10 ทางศูนย์บริการจะแนะนำให้เปลี่ยนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ 2 หมื่นกิโลเมตร แต่หากใช้ B20 ก็จะแนะนำให้เปลี่ยนที่ 1 หมื่นกิโลเเมตรเช่นเดิม ซึ่งทางศูนย์จะมีการตรวจสภาพให้ทุก 1 หมื่นกิโลเมตรอยู่แล้ว ก็จะแนะนำอีกครั้ง
ขับขี่สบายขึ้น เทคโนโลยีมีเยอะ แต่ควรเพิ่มอีก
นิสสัน เทอร์ร่า นั้นมีชื่อเสียงในเรื่องความแข็งแกร่งและความน่าใช้งานอยู่แล้ว ด้วยการเลือกใช้โครงสร้างแบบบอดี้ออนเฟรม ที่มาพร้อมยางกันกระแทกระหว่างตัวถังและแชสซี พร้อมระบบกันสะเทือนด้านหลังแบบไฟว์ลิงค์ ที่ให้ทั้งความนุ่มนวลและความมั่นใจในโค้ง
เมื่อพวกเขาปรับจูนรอบเดินเบา พร้อมด้วยพวงมาลัยที่มีความคล่องตัวเพิ่มขึ้นมา แน่นอนว่ารถคันนี้ก็ย่อมให้ความรู้สึกสะดวกง่ายดายในการควบคุม อัตราเร่งในช่วงออกตัวนั้นดีขึ้น เกียร์เปลี่ยนอย่างนุ่มนวล และกระจกที่ช่วยเก็บเสียงดีขึ้นก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้น
นิสสันเคลมว่ารถคันนี้ให้อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่มากกว่า 13 กิโลเมตรต่อลิตร และปล่อยไอเสียไม่ถึง 200 กรัมต่อกิโลเมตร มาพร้อมโหมดการขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ ที่ปรับได้ตามความต้องการ พร้อมด้วยระบบล็อกเฟืองท้ายแบบไฟฟ้า ช่วยเพิ่มความปลอดภัย
สิ่งที่ถือว่าปรับมาได้ดีมากอีกอย่างก็คือระบบเบรกของตัวรถที่ใช้ดิสก์เบรกหลังเป็นครั้งแรก มีการคุมรถที่ย่านความเร็วต่าง ๆ ได้อย่างลงตัว ทั้งบนนถนนและเส้นทางออฟโรด เรียกว่าให้ความมั่นใจในการใช้ความเร็วย่านต่าง ๆ ของรถได้อย่างเต็มที่ เหนือกว่าคู่แข่ง
ระบบช่วยเหลือด้านการขับขี่และความปลอดภัยถูกติดตั้งมาพร้อมชื่อใหม่ที่เรียกว่า Nissan Safety Shield 360 เป็นการรวบรวมระบบต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นระบบกล้องรอบทิศทาง ระบบเตือนวัตถุเคลื่อนไหวด้านท้าย และระบบช่วยเมื่อขับขี่แบบออฟโรด
นอกจากนี้ ยังติดตั้งระบบเตือนรถในมุมอับสายตา ระบบเตือนเมื่อมีรถวิ่งเข้ามาขณะถอยหลัง ระบบเตือนการชนด้านหน้าพร้อมระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ ระบบเตือนเมื่อรถออกจากช่องการขับขี่ รวมถึงระบบเตือนผู้ขับขี่ ที่จริง ๆ ก็ถือว่าให้มาค่อนข้างจะมากอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม เรากลับมองว่านิสสันน่าจะให้ระบบต่าง ๆ มาให้ครบ ๆ กันไป ไม่ว่าจะเป็นระบบตวบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องจราจร ที่แม้แต่ Nissan Navara (นิสสัน นาวาร่า) ยังมี หรือระบบเบรกรถอัตโนมัติเมื่อจอด ก็ควรให้นะ
ราคาคุ้มค่าตัว แต่ก็ชนคู่แข่งหลายราย
ด้วยการวางราคาจำหน่ายที่ 1.499 ล้านบาทในรุ่นท็อป เรียกว่าไม่ได้เซอร์ไพร์สอะไรมากมาย เพราะเป็นการทำระดับราคาจำหน่ายที่ปรับเพิ่มมาตามอุปกรณ์ที่เพิ่มมาให้ ทำให้ Nissan Terra เป็นรถอีกรุ่นที่ถือว่ามีความคุ้มค่ามากที่สุด หากเทียบกับของเล่นที่ได้
แม้หลาย ๆ คนจะบอกว่าอุปกรณ์ยังขาด ๆ เกิน ๆ แต่หากเทียบกับรถพีพีวีของคู่แข่งในระดับราคาประมาณ 1.5 ล้านบาทด้วยกัน บางคันนั้นสมรรถนะก็ไม่เทียบเท่า หรือบางคันเอง ก็อุปกรณ์ด้านความปลอดภัยและการช่วยเหลือการขับขี่ที่น้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัดเลย
งานนี้ก็ถือว่าเป็นการวัดใจผู้บริโภคชาวไทยว่าพร้อมที่จะให้โอกาสนิสสันเข้ามาดูแลครอบครัวอีกครั้งหรือไม่ รถที่ใหญ่ขึ้น สวยงามบึกบึนขึ้น และมีความเฉลียวฉลาดในการปกป้องและดูแลเจ้าของมากขึ้น งานนี้ถือเป็นการวัดใจนิสสันกับผู้บริโภคชาวไทยที่น่าจับตา
ถ้าครั้งนี้ผ่านอะไรก็คงตามมาอีกเพียบ แต่ถ้าไม่ผ่านก็คงคิดหนักแน่นอน...