รถอเนกประสงค์พื้นฐานกระบะ PPV จากค่ายอีซูซุในยุคที่ทำตลาดอย่างจริงจังนับตั้งแต่ MU-7 จนถึง MU-X รวมแล้ว 2 เจเนอเรชั่น ที่มีการพัฒนาออกรุ่นย่อยบ่อยมากๆ เพื่ออัพเกรดตัวเองให้ทัดเทียมคู่แข่งที่ครองแชมป์ยอดขายอยู่ข้างบน เราไปย้อนดูประวัติของรถรุ่นนี้ตลอดตั้งแต่ปี 2004 จนถึงปัจจุบันกัน ก่อนจะพบกับรุ่นใหม่ครับ
กำเนิดจากไทยรุ่ง
รถอเนกประสงค์ดัดแปลงจากค่ายอีซูซุ เดิมทีมีตั้งแต่ยุค 90 กับรุ่น Cameo และ Vega ที่โดนภาษีสรรพสามิตทำราคาแพง จนยอดขายหดหายเงียบไป และกลับมาแจ้งเกิดใหม่อีกครั้งเมื่อได้แรงกระตุ้นในปี 2003 มีการเปิดตัว TR Adventure Master รถดัดแปลงจากไทยรุ่ง ที่นำแชสซีและหัวเก๋งจาก อีซูซุ ดีแมกซ์ มาต่อเติมห้องโดยสารตอนท้าย และมีการออกแบบโดยคนไทยทำเอง วางขายหลบมุมอยู่ตามโชว์รูมอีซูซุ ซึ่งแม้จะไม่ได้มีแคมเปญหวือหวาในตลาดมากนัก แต่เนื่องจากไทยรุ่งก็มีชื่อเสียง 7 ที่นั่งมาอย่างต่อเนื่อง จึงทำยอดขายดี จนค่ายอีซูซุเองเริ่มคิดหาทางพัฒนารถประเภทขึ้นมาขายบ้าง
Isuzu MU-7 เจนฯ 1 เปิดตัว 2004
Isuzu MU-7 เปิดตัวครั้งแรกปลายปี 2004 ใช้ชื่อ MU เพื่อเป็นการแสดงเชื้อสายมาจากตระกูล Cameo โดยคำว่า MU ย่อมาจาก Mysterious Utility หมายถึงความอเนกประสงค์ที่คาดไม่ถึง ชูจุดเด่นที่ความกว้างขวาง เบาะแถวที่ 3 นั่งได้จริงไม่คุดคู้ มีทั้งขับเคลื่อน 2 และ 4 ล้อ มี 7 ที่นั่ง ใช้เครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล 3.0 ลิตร turbo intercooler ให้กำลัง 146 แรงม้า โดยมีช่วงล่างหลังเป็นแหนบ (ที่ปรับปรุงให้นิ่มกว่ากระบะแล้ว)
ในปีต่อมา 2005 ก็ได้ไมเนอร์เชนจ์เล็กน้อย โดยเปลี่ยนกระจังหน้าให้มีลวดลายนูนต่ำ 3 มิติในกรอบทรงเดิม ส่วนห้องโดยสารเปลี่ยนใช้ลายไม้วอลนัท ปลายปีเดียวกันมีรุ่น limited โดยตัวรถเป็นสีดำมุก และสีขาวมุก พร้อมให้ออพชั่นเครื่องเล่น DVD เพิ่มมาตามสมัยนิยม โดยยังไม่เปลี่ยนเครื่องใดๆ
ยอดขายแป๊กเพราะอะไร?
Isuzu MU-7 โฉมแรกเปิดตัวก่อนหน้าคู่แข่ง Toyota Fortuner เกือบครึ่งปี ชูจุดเด่นความกว้างขวางของ 7 ที่นั่ง และความประหยัดน้ำมัน แต่กลับทำยอดขายสู้ไม่ได้ เพราะก่อนการเปิดตัว Fortuner ไม่กี่เดือนนั้น ทางราชการกลับลำกำหนดให้รถ PPV สามารถใช้คอยล์สปริงได้ ดังนั้นฟอร์จูนเนอร์จึงได้ใช้ช่วงล่างหลังแบบสปริง แทนที่จะได้ใช้แหนบแบบ MU-7 (ซึ่งทำให้หลายคนหาว่าโตโยต้าไปลอบบี้ให้เปลี่ยนกฎด้วยซ้ำ) อีกทั้งการที่ฟอร์จูนเนอร์มีทางเลือกเป็นเครื่องเบนซินด้วย ก็ทำให้จับกลุ่มลูกค้าได้หลากหลาย จนกวาดยอดขายมากกว่าไปอย่างสมเหตุผล
อีกเหตุผลหลักที่ทำให้ยอดขายมิว-7สู้คู่แข่งไม่ได้ เพราะเรื่องรูปร่างหน้าตาที่หลายคนชอบทางโตโยต้ามากกว่า ที่มีรูปร่างเหมือนรุ่นพี่ตัวแพงอย่างแฮริเออร์ ทำให้ทาง MU-7 ที่ออกแบบสวยสู้ไม่ได้ จึงต้องพยายามปรับปรุงตัวเองให้มีความสดใหม่อยู่ทุกๆปี จนหมดอายุการตลาดไป
Isuzu MU-7 ไมเนอร์เชนจ์ครั้งใหญ่ปี 2006
ภายในระยะเวลา 2 ปีหลังจากที่ทำยอดขายเอาชนะคู่แข่งไม่ได้ จึงถูกไมเนอร์เชนจ์ในปี 2006 อีซูซุ มิวเซเว่น มีภายนอกเปลี่ยนไปชัดเจน ด้วยไฟหน้าทรงสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดใหม่ ฝังเลนส์โปรเจคเตอร์ เปลี่ยนทรงกระจังหน้าใหม่ กันชนทรงใหม่มีสเกิร์ตด้านหลัง ภายในเปลี่ยนหน้ากากแอร์เป็นทรงกลม มีหน้าปัดเรืองแสง เปลี่ยนสีเบาะเป็นสีเบจ เปลี่ยนเครื่องเสียงรองรับ mp3 ได้แล้ว มีพวงมาลัย 4 ก้านทรงใหม่ มีจุดสังเกตบนฝากระโปรงเพิ่มช่องดักลม เพราะย้ายอินเตอร์คูลเลอร์มาอยู่ด้านบน
ขุมพลังรุ่นปี 2006 เพิ่มบล็อกดีเซล 3,000 ซีซี Ddi VGS Turbo แบบแปรผันได้เป็นครั้งแรก มีกำลังเพิ่มเป็น 160 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 333 นิวตัน-เมตร และยังคงเครื่อง 3,000 ซีซี Ddi มีกำลังสูงสุด 146 แรงม้า 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 294 นิวตัน-เมตร ใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด และเกียร์ธรรมดา 6 สปีด มีให้เลือกทั้ง แบบขับเคลื่อน 2 ล้อและ 4 ล้อเช่นเคย
ปรับอุปกรณ์ใหม่ทุกปี 2007-2013
ปี 2007 รุ่น gold series ออกมาฉลอง 50 ปีทองอีซูซุ โดยโลโก้อีซูซุเป็นสีทอง ที่กระจังหน้า-หลังรถ และที่พวงมาลัย รุ่นท็อปได้ของเล่นเพิ่มเติมคือ เบาะหนัง เครื่องเล่น dvd จาก kenwood พร้อมจอที่เพดาน และกล้องมองหลังให้ เปลี่ยนกุญแจรีโมทเป็นแบบใหม่ในทุกรุ่น ปลายปีเดียวกันก็มีสีพิเศษขาวมุกเพิ่มเข้ามา
ปี 2008 รุ่น platinum โดยเปลี่ยนไฟหน้าโดยเลนส์ไฟหรี่เป็นสีขาว เปลี่ยนล้อลายใหม่ สเกิร์ตหลังแบบใหม่ มีชุดแต่งโครเมียมใต้ไฟตัดหมอก ฝาครอบเครื่องเป็นสีเงินแทนสีทอง มีชุดโครเมียมตกแต่งภายในรถ
ปี 2009 รุ่นหรู super platinum ภายนอกมีสเกิร์ตด้านหน้า ล้อลายเดิมแต่ปัดเงาเป็นครั้งแรก ใส่เครื่องเสียงแบบมีหน้าจอ navigator ให้แล้ว กับระบบ ไอ-จินนี่ เป็นครั้งแรก
ปี 2010 รุ่นพิเศษ groove แต่งสปอร์ต เพิ่มสติ๊กเกอร์ลายธงหมากรุกคาดบนฝากระโปรง เพิ่มสปอยเลอร์กันชนหน้า ตกแต่งสคูปฝากระโปรงด้วยขอบสีเงิน หน้าปัดเปลี่ยนเป็นอักษรสีแดง ให้เครื่องเสียงที่มี TV Tuner ดูฟรีทีวีได้ด้วย นอกจากนี้มีรุ่นหรู super titanium เพิ่มกล้องมองภาพด้านหน้ามาอีกด้วย
ปี 2011 รุ่นพิเศษ choiz กันชนหน้าทรงใหม่ ทำไฟหน้า-ท้ายรมดำ ล้อแม็กซ์สีดำ สเกิร์ตหลังทรงใหม่ ภายในสีดำล้วนทั้งเบาะและคอนโซล
ปี 2012 รุ่น choiz แบบปรับปรุงครั้งที่ 2 โดยไม่มีกล้องมองหน้าแล้ว ให้ล้อปัดเงาเป็นเหมือนรุ่นหรู และปรับปรุงรุ่นย่อย super titanium ให้สเกิร์ตหลังทรงใหม่ กับจอเพดานหมุนได้ 180 องศา
2013 รุ่นสั่งลาครั้งสุดท้าย เปลี่ยนชุดกันชนพร้อมสปอยเลอร์ด้านหน้าและหลังดีไซน์สปอร์ต เพิ่มกรอบโครเมี่ยมที่ชุดไฟหน้าและหลัง พร้อมเปลี่ยนไฟเบรกดวงที่ 3 เป็น LED ให้ล้อแบบปัดเงาลงในทุกรุ่นย่อยอย่างไม่มีกั๊ก
เมื่อปลายปี 2014 ได้มีการเปิดตัวโฉมโมเดลเชนจ์เป็นเจเนอเรชั่นที่ 2 เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Isuzu MU-X ซึ่งอักษรเอกซ์หมายถึงความพิเศษ Extraodinary, Exotic ฯลฯ ซึ่งยังใช้ชิ้นส่วนครึ่งคันหน้ารถกระบะอยู่ แต่เปลี่ยนดีไซน์ใหม่หมดในตอนหลัง เปลี่ยนช่วงล่างหลังไปใช้คอยล์สปริงเป็นครั้งแรกของอีซูซุ โดยมีราคาเปิดตัวอยู่ระหว่าง 1,044,000-1,419,000 บาท
เครื่องยนต์ MU-X เพิ่มทางเลือกกับบล็อกดีเซล Ddi 2.5 VGS Turbo กำลัง 136 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800 – 2,800 รอบ/นาที และยังคงมีเครื่องเดิม Ddi 3.0 VGS Turbo ที่ปรับปรุงกำลังเพิ่มเป็น 177 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 380 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800 – 2,800 รอบ/นาที
Isuzu MU-X 2017 ไมเนอร์เชนจ์เพิ่มเครื่อง 1.9 Blue Power
Isuzu Mu-X โฉมไมเนอร์เชนจ์ เปลี่ยนกระจังหน้าดีไซน์ใหม่แบบ Sport 3D เปลี่ยนไฟหน้าดีไซน์ใหม่ แบบ Bi-LED มีกันชนหน้า-หลังดีไซน์ใหม่ เปลี่ยนลายไฟท้าย LED ดีไซน์ใหม่แบบ Sharp Horizon ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ 18 นิ้วลาย Cross Star และ Roof Spoiler รูปทรงใหม่สีทูโทน
ที่สำคัญคือ การเปลี่ยนเครื่องยนต์อีกรอบ จากเดิมดีเซล 2.5 ลิตร มาใช้บล็อคใหม่ดีเซล Blue Power ความจุ 1.9 ลิตรรหัส RZ4E-TC กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ที่ 1,800-2,600 รอบ/นาที ส่งกำลังสู่ล้อหลังด้วยทางเลือก เกียร์ธรรมดา หรือเกียร์อัตโนมัติ Revtronic 6 สปีด ส่วนเครื่องดีเซล 3.0 ลิตรเดิมมีให้เลือกทั้งขับเคลื่อน 2 และ 4 ล้อ
Isuzu MU-X 2021 โฉมใหม่หมดจะเปิดตัวแล้ว
2020 All-new Isuzu MU-X (2020 อีซูซุ มิว-เอ็กซ์) โฉมโมเดลเชนจ์เจเนอเรชั่นที่ 3 จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยในวันพุธที่ 28 ตุลาคมนี้ การออกแบบคล้ายคลึงกับรถกระบะ D-max รุ่นใหม่แต่หลายชิ้นส่วนมีความแตกต่างกัน ตรงไฟหน้า กระจังหน้า ที่สำคัญคือ ส่วนท้ายรถต่างจาก MU-X รุ่นเก่าอย่างสิ้นเชิง สัดส่วนทรวดทรงโดยรวมเน้นสันนูนแบบมัดกล้าม ผสมกรอบกระจกเส้นสายแหลมคม มีแนวหลังคาสูงตรงจรดท้ายรถตั้งชัน น่าจะเน้นพื้นที่ในห้องโดยสารให้ความรู้สึกโปร่งโอ่โถงพอสมควร ส่วนตัวจริงจะเป็นเช่นไรนั้น เตรียมชมภาพอย่างเป็นทางการได้ในวันพุธนี้ ที่จะอัพเดตขึ้นหน้าเว็บ Autofun อย่างทันทีทันใจให้ชมแน่นอน