2021 MG EP (เอ็มจี อีพี) รถไฟฟ้าตัวถังสเตชั่นวากอนรุ่นใหม่ ได้เป็นตัวอย่างเป็นทางการพร้อมเผยราคาในงาน Motor Expo 2020 หลังจากเผยโฉมนำร่องไปเมื่อวันที่ 28 พฤษจิกายน
เคาะราคาอยู่ที่ 988,000 บาท ซึ่งนั่นทำให้ MG EP กลายเป็นรถไฟฟ้าขนาดรถเก๋งที่ราคาถูกที่สุดในตลาด จุดเด่นหลักแน่นอนว่าอยู่ที่การเป็นผู้นำร่องให้รถไฟฟ้าเข้าถึงได้ง่ายด้วยราคาเปิดตัวนั่นเอง แต่ราคาที่ดูสมเหตุสมผลนี้ ต้องแลกมาด้วยอะไรบางอย่างหรือไม่? วันนี้เราจะมาพาชมกัน
ขนาดไม่เล็ก ไม่ใหญ่ เอาใจขนชอบขนของ
เมื่อนำ MG EP เปรียบเทียบกับ MG ZS EV ที่ราคา 1.19 ล้านนั้น แม้ว่าจะเป็นรถต่างรูปแบบกัน รูปร่างหน้าตา สไตล์แตกต่างกันชัดเจน แต่ขนาดตัวถังใกล้เคียงกัน MG EP มีมิติความยาว 4,540 มม. กว้าง 1,820 มม. และสูง 1,540 มม. ฐานล้อ 2,665 มม. ทำให้ MG EP มีขนาดตัวถังอยู่ในระดับ C-Segment แม้ว่าจะเล็กกว่ารุ่นอื่น ๆ เสียหน่อย แต่ด้วยรูปทรงของรถที่เป็นแบบสเตชั่นวากอน จึงมีความโดดเด่นในด้านขนาดของที่บรรจุสัมภาระท้ายใหญ่ขนาด 463 ลิตร และเมื่อพับเบาะหลังแล้วจะได้พื้นที่ความจุสัมภาระสูงสุดถึง 1,456 ลิตร
MG EP มีพื้นฐานจาก Roewe ei5 ซึ่งเปิดตัวมาในตลาดจีนปี 2017 รูปลักษณ์ภายนอกนั้นถูกออกแบบมาอย่างเรียบง่ายแต่ดูหรูหรา ซึ่งอาจจะฟังดูตรงข้ามกับแนวคิดที่จะทำรถรุ่นนี้ให้ “ตอบโจทย์ทุกฟังก์ชั่น รถยนต์พลังงานไฟฟ้าของทุกคน” ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ และไฟท้าย LED แบบ Electric Pulse Design ล้อแม็กซ์ใช้ขนาด 16 นิ้ว เมื่อมองโดยรวมแล้วเป็นรถที่ออกแบบมาได้ลงตัวพอสมควร แต่ถ้าถามถึงความแปลกใหม่ก็คงจะไม่ได้เป็นประเด็นหลัก
เครื่องยนต์ไฟฟ้า จุดเด่นหลักของตัวรถ
ความน่าสนใจอยู่ที่ระบบกลไลของเครื่องยนต์ 2021 MG EP ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า พ่วงแบตเตอร์รี่ใต้ท้องรถแบบ Lithim-ion ซึ่งระบายความร้อนด้วยน้ำ ขนาด 5.3 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง สามารถสร้างพละกำลังได้ 163 แรงม้า แรงบิด 260 นิวตัน-เมตร ทำงานร่วมกับเกียร์ไฟฟ้า อัตรา 0-100 กม./ชม. ทาง MG ได้เคลมไว้ที่ 8.8 วินาที ความเร็วสูงสุดได้ที่ 185 กม./ชม. มีรูปแบบการขับขี่ 3 รูปแบบ คือ Normal, Eco และ Sport และมีระบบเก็บไฟคืน KERS (Kinetic Energy Recovery System) ซึ่งใช้ร่วมกับระบบหน่วงความเร็ว Regenerative Braking System น้ำหนักอยู่ที่ 1,550 กก.
MG EP สามารถชาร์จไฟแบบ Quick Charge (CCS Combo 2) ได้ถึง 80% ภายใน 40 นาที และชาร์จแบบปกติเต็มในเวลา 7 ชั่วโมง โดยที่จะมีการสร้างเครือข่ายศูนย์ชาร์จ โดยเริ่มตั้งแท่นชาร์จแบบ Quick Charge ไว้ยังกลุ่มดีลเลอร์ 100 แห่งภายในเดือนมกราคม และจะขยายให้ถึง 500 แห่งภายในปีหน้า โดยที่การชาร์จ 1 ครั้ง MG เคลมระยะทางที่สามารถใช้ได้เอาไว้ 380 กิโลเมตร
นอกเหนือจากนี้ ประเด็นที่หลายคนอาจจะสงสัยเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าคือ ค่าบำรุงรักษา ทาง MG ได้แจ้งว่า ในระยะทาง 100,000 กิโลเมตรนั้น จะมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา เช่นการเปลี่ยนถ่ายคูลแลนท์ของแบตเตอร์รี่ 7,828 บาท
อุปกรณ์มาตรฐาน น้อยไปหรือเปล่า?
สิ่งที่อาจจะทำให้คนผิดหวัง คือในด้านอุปกรณ์มาตรฐาน โดยในด้านความบันเทิงนั้นไม่มีระบบ i-Smart ซึ่งเป็นอุปกรณ์ชูโรงของ MG และจอแสดงผล 7 นิ้วก็ดูไม่ได้โดดเด่นอะไร รวมไปถึงเบาะนั่งก็ยังคงเป็นแบบปรับมือ อุปกรณ์เพื่อความสะดวกสบายมีดังนี้
- หน้าจอ Touchscreen ขนาด 8 นิ้ว รองรับ Android Auto และ Apple CarPlay
- ครูสคอนโทรล
- แอร์ดิจิตอล
- ปุ่มสตาร์ทรถ
- เบรกมือไฟฟ้า และ Auto Hold
ส่วนในด้านความปลอดภัย MG EP ก็มีให้อย่างเพียงพอ ดังนี้
- ถุงลมนิรภัย 2 จุดที่คู่หน้า
- ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกฉุกเฉิน ABS (Anti-Lock Braking System)
- ระบบกระจายแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBD (Electronic Brake Force Distribution)
- ระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist)
- ระบบควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System)
- ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control)
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System)
- ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System)
- ระบบสัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal)
- ระบบตรวจสอบลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System)
สรุป
ด้วยราคาเปิดตัวที่ 988,000 บาท จึงทำให้ MG EP ดูเป็นรถที่จะสามารถทำให้รถยนต์ไฟฟ้าเข้าถึงได้ง่ายอย่างแท้จริง แต่นั่นก็ต้องแลกมาด้วยการที่อุปกรณ์มาตรฐานมีมาให้เพียงแค่พอใช้ ไม่ได้โดดเด่น รูปลักษณ์ภายนอกก็เป็นอีกประเด็น แม้ว่าดีไซน์จะเรียบง่ายและดูดี แต่ไม่มีความแหวกแนวแปลกใหม่ที่จะทำให้ผู้คนสังเกตเห็น ขนาดตัวรถก็อยู่ในระดับที่ก้ำกึ่ง ใหญ่เกินที่จะเป็น B-Segment แต่ไม่ใหญ่เท่า C-Segment รุ่นอื่น
ด้วยราคาที่ถูกกว่า MG ZS EV กว่า 200,000 บาท ทำให้ผู้ที่สนใจอยากจะได้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าอาจจะต้องคิดหนัก ในทางหนึ่ง MG EP สามารถวิ่งระยะทางได้ไกลกว่า และมีพื้นที่เก็บสัมภาระที่ใหญ่ และราคาถูกกว่ามาก แต่ MS ZS มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นกว่า ทันสมัยกว่าแม้ว่าจะเปิดตัวมาก่อน อีกทั้งยังมีความเอนกประสงค์แบบรถ SUV ที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ด้วย