ลองขับ 2023 Mazda 2 (มาสด้า 2) โฉม Minorchange รถมีอายุ 8 ปีแล้ว ถูกจับมาลงสนามทดสอบมาตรฐานใหม่ในปี 2023 ที่ประเทศไทย นับว่ายังสร้างความพึงพอใจในการขับขี่อยู่เหมือนเดิม
ประวัติ Mazda 2 นาน 8 ปี
Mazda 2 โฉมปัจจุบันรหัสตัวถัง DJ ที่ยังคงทำตลาดอยู่ เปิดตัวในไทยเมื่อเดือนมีนาคม 2015 เป็นรุ่นแรกที่พัฒนาแยกจาก Ford โดยสิ้นเชิง ใช้เครื่องยนต์แบบใหม่หมด Skyactiv-G เบนซิน 1.3 ลิตร และ Skyactiv-D ดีเซลขนาด 1.5 ลิตร
Mazda 2 ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา จะมีการเสริมเติมแต่งอุปกรณ์มาตรฐานให้น่าใช้ขึ้นมาเสมอในทุก ๆ ปี และในครั้งนี้ก็เป็นความเปลี่ยนแปลงใหญ่ ด้วยรูปร่างหน้าตา และอุปกรณ์ใหม่ขึ้นเยอะ แม้ว่ารถจะเปิดตัวตั้งแต่ปี 2015 แล้วจะผ่านการลองขับบนสนามทดสอบมาตรฐานใหม่ล่าสุดหรือไม่
สนามทดสอบใหม่ล่าสุด
สนามทดสอบใหม่ล่าสุดที่ว่านี้คือ ศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC) ซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา บนพื้นที่กว่า 1,235 ไร่ ใช้ทดสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และยางล้อของไทย สร้างโดย IDIADA สถาบันวิจัยประยุกต์ด้านยานยนต์จากสเปน เป็นไปตามมาตรฐาน UN R117 ทำให้สามารถรับรองคุณภาพยางเป็นมาตรฐานสากลอย่างเดียวกับทั่วโลก
ใช้รุ่นเบนซิน Clap Pop
การใช้สนามทดสอบยางมาใช้ลองขับรถนี้ เป็นการขับในสนามปิด แบ่งออกเป็น 3 สถานี คือสมรรถนะ, การเบรค และพลวัต เพื่อควบคุมคุณภาพทั้งยางและตัวรถไปพร้อมกัน โดยมีสภาพสนามใหม่เอี่ยม และสภาพรถทดสอบทุกคันก็ใหม่จากโรงงาน ไม่มีการปรับแต่งใด ๆ เพิ่มเติม เพื่อให้มีสเปคเหมือนคันที่ขายในโชว์รูมมากที่สุด โดยรถที่เราเลือกขับคือรุ่นเบนซิน 1.3 ลิตร รุ่นพิเศษ Clap Pop Sports Skyactiv-G ราคา 647,000 บาท ซึ่งเราคิดว่าเป็นรุ่นที่น่าจะขายดี เพราะการตกแต่งสวยงาม ในราคาเอื้อมถึงง่าย
ทดสอบสลาลอม
การทดสอบสถานีแรกคือ สมรรถนะของเครื่องยนต์ ด้วยการทดสอบอัตราเร่ง ซึ่งแน่นอนว่า Mazda 2 รุ่นเบนซินนั้น มีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ประมาณ 16 วินาทีแบบอีโค่คาร์ทั่วไปที่ไม่ได้ใช้ระบบอัดอากาศ ส่วนจุดเด่นที่ชัดเจนกว่าคู่แข่งคือช่วงล่าง ด้วยการการขับขี่แบบสลาลอม และการเปลี่ยนเลนฉุกเฉิน ที่ความเร็ว 60 กม./ชม. คนขับสามารถหักพวงมาลัยหลบกรวยได้อย่างราบรื่น โดยไม่ต้องเบรคเลย หากเทียบในสภาพการจราจรจริง คุณสามารถหักหลบสิ่งกีดขวาง หรือรถตัดหน้าโดยแทบไม่มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุเลย โดยต้องยกความดีให้ระบบ G-Vectoring Control Plus (GVC Plus) มอบความมั่นใจให้กับทุกสถานการณ์การขับขี่
ทดสอบเก็บเสียงและความกระด้าง
การทดสอบสถานี 2 เกี่ยวกับระบบเบรกและความเงียบของห้องโดยสาร โดยมีพื้นผิว 3 แบบคือ พื้นถนนคอนกรีต ขับเพื่อทดสอบการเก็บเสียงในความเร็วประมาณ 80 กม./ชม. ต้องขอบคุณยางและวัสดุเก็บเสียงในซุ้มล้อและผนังห้องโดยสาร รวมถึงกระจกหน้าแบบลดเสียงรบกวน ที่ช่วยกันหลายทิศทาง จากนั้นลองขับผ่านเนินหลังเต่าด้วยความเร็ว 30 กม./ชม. จำลองการขับขี่ในซอย แล้วพบข้อเสียในเรื่องความกระด้าง ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนมาด้วยการเกาะถนนที่ดีชดเชยกันไป
ทดสอบเบรคทางเปียก
จากนั้นก็มีการทดสอบการเบรกฉุกเฉินบนทางแห้งและบนทางเปียกลื่น ด้วยพื้นผิวปูกระเบื้องขัดมัน พร้อมพรมน้ำให้ชุ่มตลอดเวลา แล้วปล่อยให้เราขับด้วยความเร็วถึง 80 กม./ชม. จากนั้นกดเบรคจนสุด ซึ่งเราคาดหวังว่า Mazda 2 อาจจะต้องแก้พวงมาลัยให้ความตื่นเต้นบ้าง แต่ความจริงแล้ว รถมันกลับเบรคได้นิ่ง เป๋น้อยมาก ไม่มีการแก้พวงมาลัย เสริมความมั่นใจในตัวรถว่ามั่นคงในการเบรคตอนฝนตกของจริง
ขับจิมคาน่า
สถานีสุดท้ายคือการทดสอบพลวัต โดยจำลองสไตล์การขับขี่จากสนามแข่งขันระดับโลก ฟูจิสปีดเวย์ กั้นกรวยในแบบจิมคาน่า เพื่อให้แสดงศักยภาพการบังคับควบคุมรถ Mazda 2 ในการควบคุมพวงมาลัย การตอบสนองต่อการเร่ง และเบรกในสถานการณ์ต่างๆ โดยยังคงเอกลักษณ์การควบคุมง่าย หักพวงมาลัยตรงตามมือหมุน มีช่วงล่างคมจิกโค้งตามใจสั่ง และแป้นคันเร่งแบบเปียโนที่ช่วยส่งเสริมให้เราใส่เทคนิคการขับขี่ตามแต่ละบุคคลอย่างสะดวกขึ้น
ขับในสภาพจริง 19 กม./ล.
ตบท้ายกับการลองขับในถนนเปิด กับสภาพการจราจรในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน จากในเมืองหลวง ออกสู่ทางหลวง พบว่าอัตราเร่งแซงไม่หวือหวา เกียร์ 6 สปีดยังนุ่มนวลดี มีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยจากหน้าจอพบว่อยู่ที่ 19 กม./ล. โดยขับแบบไม่เน้นประหยัด มีเร่งแซงบ่อยด้วยซ้ำ นับว่าน่าประทับใจแล้ว
Mazda 2 รถยนต์ที่เปิดตัวมา 8 ปีก่อน มีพื้นฐานการออกแบบทั้งตัวถังและเครื่องยนต์ที่ดี ทำให้สามารถพัฒนาต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันได้อย่างไม่ตกยุค ทำให้มันยังขายดีไม่มีแผ่ว เพียงเปิดตัว 5 วันก็ถูกจองไปแล้ว 1,500 คันและยังมียอดจองหลักพันคันเข้ามาอีกในเดือนล่าสุด แสดงให้เห็นแล้วว่า มันมีคุณสมบัติครบทั้งสมรรถนะเฉียบคม กับสไตล์ชิคครองใจทั้งกลุ่มนักขับ และคนใช้งานทั่วไปอย่างมาก
อ่านเพิ่มเติม : เปิดตัว 2023 Mazda 2 ไมเนอร์เชนจ์ เผยโฉมซีดานครั้งแรกในโลก ความปลอดภัยเทียบเท่ารุ่นพี่