กลุ่มรถยนต์ Eco Car ในเมืองไทยมีมากมายถึง 9 รุ่นที่เครื่องยนต์ไม่เกิน 1.2 ลิตร เพื่อความประหยัด โดยชูจุดขายที่มีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันที่มากถึง 20-23 กม./ลิตร เรียกได้ว่าประหยัดกว่ากระบะเกือบเท่าตัว
โดยเราจะมาทำการจัดอันดับกันว่าทั้ง 9 คันนี้เรียงจากกินน้ำมันมากที่สุด ไปยังประหยัดที่สุดกัน โดยอิงจาก Eco Sticker
อันดับ 9 Nissan March
ถือได้ว่าเป็นรถ Eco Car คันแรกของเมืองไทยก็ว่าได้ เพราะ Nissan March (นิสสัน มาร์ช) ขายมาตั้งแต่ปี 2553 จนถึงตอนนี้ก็เป็นปีที่ 11 แล้ว ปัจจุบันมียอดสะสมรวมมากนับหลักแสนคัน มีการปรับราคาบ้าง จุดเด่นอยู่ที่ขนาดตัวรถเล็ก แต่ภายในกว้างขวาง นั่งสบาย
เครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร 79 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติแบบ Xtronic CVT
อัตราประหยัดน้ำมัน Nissan March ทั้งเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติอยู่ที่ 20.0 กม./ลิตร
อันดับ 8 Suzuki Ciaz
ถือว่า Suzuki Ciaz (ซูซูกิ เซียส) เป็น Eco Car ซีดานเพียงรุ่นเดียวของ Suzuki (ซูซูกิ) ที่ชูจุดเด่นด้วยหน้าตาสปอร์ต พื้นที่กว้างขวาง นั่งหลังสบายกว่าพี่น้องร่วมค่าย ช่องวางเครื่องดื่มมากถึง 8 ตำแหน่ง พื้นที่เก็บสัมภาระกว้างถึง 565 ลิตร
เครื่องยนต์เบนซินรหัส K12B ขนาด 1.25 ลิตร 4 สูบ 91 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 118 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที รองรับเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ E20
อัตราประหยัดน้ำมัน Suzuki Ciaz ทั้งเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติอยู่ที่ 20.0 กม./ลิตร
อันดับ 7 Suzuki Celerio
น้องเล็กสุดในตลาดเมืองไทยนั่นก็คือ Suzuki Celerio (ซูซูกิ เซเลริโอ) แถมยังเป็นรถยนต์ที่ถูกที่สุดในประเทศไทยอีกด้วย แม้มีการเพิ่มราคาเป็น 328,000 แล้วก็ตาม เหมาะกับคนที่ต้องการมีรถคันแรก และได้ชื่อว่าเป็น Eco Car ที่คุณภาพเกินตัว
เครื่องยนต์เบนซินขนาด 3 สูบ 1.0 ลิตร 68 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20
อัตราประหยัดน้ำมัน Suzuki Celerio ในเกียร์ธรรมดาทำได้ 21.3 กม./ลิตร เกียร์อัตโนมัติทำได้ 20.8 กม./ลิตร
อันดับ 6 Suzuki Swift
รถอีโคคาร์ Suzuki Swift (ซูซูกิ สวิฟท์) ได้ปรับไมเนอร์เชนจ์ใหม่ โดยเพิ่มเส้นโครเมี่ยม ล้อ 16 นิ้ว ที่สำคัญมาพร้อมกล้องมองหลังแล้วด้วย ใช้แพลตฟอร์ม HEARTECT ให้ความแข็งแรง ลดน้ำหนักของรถยนต์แต่ยังมีความแข็งแรง
เครื่องยนต์เบนซิน รหัส K12M 4 สูบ ขนาด 1.2 ลิตร 83 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 108 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที ที่ประหยัดได้กว่า Suzuki Celerio ด้วย DUALJET
เพิ่มประสิทธิภาพด้วยระบบหัวฉีดคู่ ฉีดน้ำมันเข้าไปที่กระบอกสูบพร้อมกันทั้ง 2 หัวฉีด ทำให้น้ำมันมีละอองที่ละเอียดขึ้น ได้กำลังและแรงบิดที่ดียิ่งขึ้น
อัตราประหยัดน้ำมัน Suzuki Swift ทำได้ 23.3 กม./ลิตร
อันดับ 5 Nissan Almera
Eco Car รุ่นแรกที่มาพร้อมเครื่องเทอร์โบ คือ Nissan Almera (นิสสัน อัลเมร่า) และยังมีออปชันความปลอดภัยมากมายที่อยากให้คุณได้ลองสัมผัส ทั้งกล้องมองรอบคัน ระบบเตือนก่อนการชน, เบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ, ระบบตรวจจับวัตถุหลังขณะถอย, ระบบเตือนจุดอับสายตา
ขุมพลังขนาด 1.0 ลิตร Turbo 100 แรงม้า และแรงบิด 152 นิวตันเมตร เกียร์ Xtronic CVT
อัตราประหยัดน้ำมัน Nissan Almera ทำได้ 23.3 กม./ลิตร
อันดับ 4 Toyota Yaris และ Yaris Ativ
เราขอมัดรวมอีโคคาร์ Toyota Yaris (โตโยต้า ยาริส) และ Toyota Yaris Ativ (โตโยต้า ยาริส เอทิฟ) เอาไว้ด้วยกัน เนื่องจากมีรายละเอียดที่เหมือนกัน ทั้งแฮตช์แบ็กและซีดานเป็น Eco Car ยอดฮิตขายดีอันดับหนึ่งเมืองไทย มั่นใจด้วย Toyota Safety Sense เตือนเมื่อรถออกนอกเลนและเตือนก่อนการชน
เครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร 92 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 109 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที กับระบบเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i
อัตราประหยัดน้ำมัน ทั้ง Toyota Yaris และ Yaris Ativ ทำได้ 23.3 กม./ลิตร
อันดับ 3 Mitsubishi Mirage และ Attrage
เราขอรวม Eco Car Mitsubishi Mirage (มิตซูบิชิ มิราจ) และ Mitsubishi Attrage (มิตซูบิชิ แอททราจ) เข้าไว้ด้วยกันเช่นเคย มีกระจังหน้า Advanced Dynamic Shield เป็นเอกลักษณ์ พร้อม Cruise Control และระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะเมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว
เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร 78 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 100 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบ/นาที
อัตราประหยัดน้ำมัน Mitsubishi Mirage และ Attrage ทั้งสองคันทำได้ 23.3 กม./ลิตร
อันดับ 2 Honda City
ได้ทั้งความประหยัดและความแรงใน Honda City (ฮอนด้า ซิตี้) ที่เป็นรถอีโค่คาร์อีกคันที่มีเทอร์โบมาให้ พร้อมหน้าตาสปอร์ตสุด และยังมีอีกรุ่นที่ให้ความกว้างขวางกว่าคือ Honda City Hatchback (ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ค)
ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.0 ลิตรเทอร์โบ กำลัง 122 แรงม้า แรงบิด 173 นิวตันเมตร
อัตราประหยัดน้ำมัน Honda City ในรุ่นซีดานทำได้ 23.8 กม./ลิตร ส่วนแฮทช์แบ็คทำได้ 23.3 กม./ลิตร อาจเป็นเพราะว่ามีน้ำหนักที่มากกว่า
อันดับ 1 Mazda 2
ยกให้เป็นรถ Eco Car ที่คุ้มค่าที่สุดด้วยของที่มีมาให้ทั้งกล้องมองรอบคัน ระบบความปลอดภัยสุดล้ำ i-Activsense การออกแบบ Kodo Design ที่สวยล้ำยุคใน Mazda 2 (มาสด้า 2) อีกทั้งยังสามารถเลือกเครื่องยนต์ได้ 2 แบบทั้งเบนซินและดีเซลอีกด้วย
- เครื่องเบนซิน 1.3 ลิตร ให้แรงม้าสูงสุด 93 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 123 นิวตันเมตร
- เครื่องดีเซลเป็น 1.5 ลิตร ให้แรงม้า 105 แรงม้า และแรงบิด 250 นิวตันเมตร
อัตราประหยัดน้ำมัน Mazda 2 ในรุ่นเบนซินทำได้ 23.3 กม./ลิตร ส่วนดีเซลทำได้มากถึง 25.6 กม./ลิตร ยกให้ประหยัดที่สุดไปเลย
อนึ่ง อัตราประหยัดน้ำมันอาจมีการคลาดเคลื่อนไปบ้างขึ้นอยู่กับลักษณะการขับขี่ของแต่ละคน และสภาพการจราจรในแต่ละวัน