รัฐบาลเยอรมนีกลับลำ เปลี่ยนเป้าหมายการส่งเสริมรถยนต์พลังงานทางเลือกให้ครอบคลุมรถยนต์ไฮบริด หลังจากก่อนหน้านี้สนับสนุนแต่รถยนต์ไฟฟ้าอย่างเดียว
โวล์เกอร์ วิสซิ่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมของเยอรมนีกล่าวยืนยันว่า รัฐบาลได้ปรับเปลี่ยนเป้าหมายเดิมที่จะส่งเสริมให้มีการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า 100% ให้ถึง 15 ล้านคันภายในปี 2030 กลายเป็นรวมรถยนต์ไฮบริดเข้าไว้ด้วย
การเปลี่ยนเป้าหมายดังกล่าวถือว่าเข้าทาง Toyota (โตโยต้า) เพราะที่ผ่านมาค่ายรถยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นยืนยันหนักแน่นมาโดยตลอดว่ารถไฮบริดมีความสำคัญเทียบเท่ารถยนต์ไฟฟ้า
การถกเถียงที่ไม่มีวันสิ้นสุด
ประเด็นการสนับสนุนรถพลังงานทางเลือกทำให้เกิดการถกเถียงเป็นวงกว้างในอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลก ด้านหนึ่ง อีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Tesla (เทสล่า) ยืนยันว่าไม่ควรให้ความสำคัญกับรถไฮบริด พร้อมกับชี้ว่าสาเหตุที่ค่ายรถส่งเสริมรถขุมพลังลูกผสมเพราะต้องการให้เครื่องยนต์สันดาปคงอยู่ต่อไปเท่านั้น
มัสก์ชี้ว่าไม่ช้าก็เร็ว โลกยานยนต์จะต้องถูกครอบครองด้วยรถยนต์ไฟฟ้า ดังนั้น ทุกฝ่ายต้องทุ่มงบประมาณลงทุนในการสร้างโครงข่ายจุดชาร์จไฟ การผลิตแบตเตอรี่ และการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัวมากกว่า
ในทางกลับกัน ค่ายรถยักษ์ใหญ่หลายรายอย่าง Toyota ตอบโต้ว่าตลาดรถยนต์ในแต่ละภูมิภาคมีความแตกต่างกันและต้องการใช้รถยนต์ไม่เหมือนกัน ขณะที่ศักยภาพการผลิตแบตเตอรี่ก็ยังไม่เพียงต่อต่อดีมานด์การผลิตรถอีวีอย่างเดียว
ไม่เพียงเท่านั้น การขุดเหมืองแร่อย่างนิกเกิล โคบอลต์ และลิเธียมที่เป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตแบตเตอรี่ก็ส่งกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเช่นกันหรืออาจส่งผลมากกว่าการขุดเจาะน้ำมันปิโตรเลียมด้วยซ้ำไป
Geely Group กลุ่มทุนยานยนต์ยักษ์ใหญ่จากจีนยังระบุว่า ปัญหาสำคัญที่สุดของการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้าไม่ใช่การพัฒนาเทคโนโลยี แต่เป็นการบริหารจัดการโลจิสติกส์และการจัดส่งวัตถุดิบเพื่อการผลิตรถอีวีมากกว่า
โจฮัน เฮลซิ่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านรถพลังงานทางเลือกและที่ปรึกษาของ Geely Group เคยให้ความเห็นไว้ว่า ปัญหาคอขวดของการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าคือกำลังการผลิตแบตเตอรี่ที่ไม่เพียงพอ
ขณะเดียวกัน รถยนต์ไฮบริดใช้แบตเตอรี่ขนาดเล็กกว่า นั่นหมายถึงใช้วัตถุดิบน้อยกว่าแต่สามารถสร้างรถยนต์จำนวนมากกว่าได้ ดังนั้นจึงช่วยลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับรถยนต์อีวีที่มีจำนวนน้อยกว่า
Toyota เคยให้ตัวเลขที่น่าสนใจไว้ว่า จำนวนแบตเตอรี่ที่ใช้ในรถยนต์ไฟฟ้า 260,000 คันนั้นสามารถใช้ได้ในรถยนต์ไฮบริด 18.1 ล้านคันเลยทีเดียว ช่วยลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ได้เทียบเท่ารถยนต์ไฟฟ้า 5.5 ล้านคัน
รัฐบาลเยอรมนีได้ตระหนักถึงตัวเลขข้างต้นแล้ว และกำลังเปลี่ยนโยบายครั้งสำคัญ แต่แน่นอนว่าการกลับลำครั้งนี้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าถูกล็อบบี้จากบรรดาบริษัทรถยนต์อย่างแน่นอน และยังถูกคัดค้านจากพรรคร่วมรัฐบาล อย่างพรรคกรีนที่ยืนยันว่าต้องส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้าล้วน ๆ เท่านั้น อย่างไรก็ตาม รัฐบาลก็ยังเดินหน้าต่อไป
“เราต้องการรถยนต์ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า และรถยนต์ไฮบริดจะมีส่วนสำคัญกับนโยบายของเรา” รัฐมนตรีคมนาคมของเยอรมนี กล่าวยืนยัน