การทุ่มงบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท เปิดตัว Benz Primus (เบนซ์ ไพรมัส) ในช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 เพียงไม่นาน อาจจะส่งผลกระทบต่อแผนงานการดำเนินธุรกิจในปีที่ผ่านมา และน่าจะส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนเพิ่มของบริษัท ตามแผนงานที่เคยวางเอาไว้ก่อนหน้า
นั่นคงจะเป็นความคิดของหลาย ๆ คนที่มองเข้ามาที่โชว์รูมขนาดใหญ่ย่านเลียบด่วนด้วยความเป็นห่วง แต่กับความเห็นของ ณัฏฐวุฒิ ตั้งคารวคุณ ประธานบริษัทไพรม์มัส ออโต้เฮาส์ ในเครือบริษัททีโอเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง (ทีโอเอวีเอช) นั่นมองไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับคนอื่นเสมอ
"ผมยังมองว่าในวิกฤตมีโอกาสเสมอ และหากเราพร้อม เราก็ต้องเดินหน้าลงทุนตอนนี้ เพราะเป็นช่วงที่เหมาะสมกับการลงทุน และยังมองภาพรวมว่าอนาคตน่าจะดีอยู่ ซึ่งมันก็มีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง แต่ผมมองว่าในปี 2566 น่าจะกลับสู่ภาวะปกติเหมือนปี 2562 ที่ผ่านมาได้นะ"
การลงทุนของณัฏฐวุฒิ ไม่ได้หมายถึงการลงทุนในธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ Mercedes-Benz (เมอร์เซเดส-เบนซ์) แต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงการลงทุนเพื่อเร่งขยายธุรกิจในเครือ TOAVH ทั้งหมด เพื่อรองรับความพร้อมหากตลาดกลับสู่ภาวะปกติวันใด ก็พร้อมที่จะเดินหน้าต่อได้ทันที
AutoFun Thailand จับเข่าคุยกับผู้บริหารที่กุมบังเหียนกลุ่มธุรกิจที่มีมูลค่ารวมมากกว่า 1 หมื่นล้านบาทต่อปี ผู้ที่ประกาศเดินหน้าการลงทุนอย่างต่อเนื่องด้วยเม็ดเงินกว่า 550 ล้านบาทในปีนี้ เพื่อรุกธุรกิจครบวงจร ทั้งยานยนต์-รีเทล-อุตสาหกรรม และยังมองหาช่องทางใหม่ ๆ เพิ่มเติมอีกในอนาคต!!!
งบลงทุนเพิ่มเติมอีก 550 ล้านบาทในปีนี้
การลงทุนหลัก ๆ ของทีโอเอวีเอชในปีนี้ จะเน้นไปที่การขยายในกลุ่มธุรกิจรีเทล ซึ่งบริษัทนั้นร่วมทุนกับบริษัทญี่ปุ่นในการทำธุรกิจห้างดองกี้โฮเต้ในประเทศไทย จากที่มี 2 สาขาในปัจจุบัน ก็มีแผนที่จะทุ่มงบประมาณ 300 ล้านบาท เพื่อเปิดอีก 2 สาขาในปีนี้ที่กลางเมืองและชานเมืองอย่างละแห่ง
"ธุรกิจรีเทลเรามองว่าต้องเร่งขยายต่อไปในอนาคต โดยได้คุยกับพาร์ทเนอร์แล้ว คาดว่าจะต้องมีให้ได้ถึง 20 สาขาในอีก 5 ปีต่อจากนี้ ซึ่งคงต้องรอความเรียบร้อยของวัคซีนก่อน โดยมองไปที่การขยายไปหัวเมืองใหญ่ โดยงบประมาณแต่ละสาขาจะอยู่ที่ 120-150 ล้านบาท แล้วแต่ขนาดของสาขา"
นอกจากนี้ ก็ยังจะเดินหน้าขยายธุรกิจสีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสีถือเป็นหนึ่งในธุรกิจหลักของกลุ่มอุตสาหกรรม โดยจะใช้งบประมาณ 200 ล้านบาทในการลงทุนปีนี้ ต่อเนื่องมาจากการลงทุน 110 ล้านบาท ในการเปิดไลน์การผลิตกระดาษทรายใหม่ในช่วงปีที่ผ่านมา เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตกว่า 30%
สำหรับกลุ่มรถยนต์นั้น จะยังไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่ เนื่องจากเพิ่งลงทุนที่ไพรมัสไป แต่จะเน้นเรื่องการเตรียมความพร้อมของศูนย์ อาทิ การลงทุนโซลาร์รูฟด้วยงบประมาณ 20 ล้านบาท ที่ช่วยทั้งเรื่องของการประหยัดไฟฟ้า และยังเพิ่มที่จอดรถอีก 120 คัน เพื่อรองรับธุรกิจรถยนต์มือสอง
นอกจากนี้ ก็มีการลงทุนอีก 20 ล้านบาทสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพในการรองรับการให้บริการลูกค้า ด้วบการเพิ่มลิฟท์สำหรับการซ่อมบำรุง ที่จะทำให้สามารถดูแลลูกค้าได้เพิ่มขึ้นเป็นปีละไม่น้อยกว่า 9,000 คันในปีนี้ และมีแผนจะเพิ่มให้ได้ถึง 1.5 หมื่นคันในอนาคตตามแผนที่วางไว้
"ที่ผ่านมา เรามียอดการให้บริการลูกค้าเดือนละ 600 คัน แม้จะมียอดขายไม่ถึง 600 คัน ซึ่งถือเป็นเพนพอยท์ของเรา ที่ลูกค้าบางรายอาจจะต้องรอเวลานานถึง 3 สัปดาห์ ทำให้เราตัดสินใจลงทุนเพิ่มลิฟท์ไปอีก 10 ตัวในปีนี้ จากที่เดิมมีอยู่แล้ว 20 ตัว และหากมีความต้องการ ก็จะลงทุนเพิ่มขึ้นอีก"
สำหรับธุรกิจรถยนต์มือสองนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมพื้นที่ชั้น 3 ไว้รองรับลูกค้า ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการในเดือนเมษายนนี้ ขณะที่ธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ MG (เอ็มจี) ก็ศึกษาการขยายรถยนต์มือสองเช่นกัน คาดว่าจะเริ่มในช่วงไตรมาส 3 และต้องใช้งบประมาณลงทุนอีก 5-10 ล้านบาทในปีนี้
ตั้งเป้าขยายการเติบโตกลุ่มยานยนต์ในปีนี้
ณัฏฐวุฒิระบุว่าทีโอเอวีเอชมีตัวเลขรายได้ 1.02 หมื่นล้านบาทในปีที่ผ่านมา เติบโต 14% โดยแบ่งออกเป็น รายได้จากธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ 6,500 ล้านบาท หรือ 55% รายได้จากธุรกิจสีและชิ้นส่วน 35% รายได้จากกลุ่มธุรกิจเคมี 8% และรายได้จากกลุ่มธุรกิจรีเทล 2% ซึ่งคาดว่าจะรักษาสัดส่วนนี้เอาไว้
อย่างไรก็ตาม พวกเขาได้ตั้งเป้าเพิ่มรายรับของกลุ่มในปีนี้เอาไว้ที่ 1.16 หมื่นล้านบาท โดยการขยายตัวหลัก ๆ จะมาจากกลุ่มธุรกิจยานยนต์ ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่มียอดขาย 573 คันในปีที่ผ่านมา ครองสัดส่วนราว 50% ตามมาด้วยเอ็มจีที่มียอดขาย 3,900 คันและ Suzuki (ซูซูกิ) ที่มียอด 900 คัน
"การขยายตัวของเราในปีที่ผ่านมา ต้องบอกว่าเราทำได้ดีมากในกลุ่มของรถยนต์หรู ที่มียอดจำหน่ายเติบโตมาก และคิดว่าจะยังขยายไปได้อีก ขณะที่เอ็มจีเราสามารถรักษายอดการจำหน่ายเอาไว้ได้ใกล้เคียงปีก่อนหน้านั้น ขณะที่ซูซูกิเอง ก็ต้องยอมรับว่ายอดขายเราหดตัวลงไปเล็กน้อยในปีที่ผ่านมา"
สำหรับเป้าหมายสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ของกลุ่มในปีนี้ ณัฏฐวุฒิบอกว่าเขาตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 10% ด้วยความเชื่อมั่นว่าไพรมัสยังสามารถเติบโตได้อีก 20% ขณะที่เอ็มจีจะขาย 4,500 คันเพื่อรักษาส่วนแบ่ง 24% ของยอดขายเอ็มจีรวม และซูซูกิจะรักษายอดกลับมาให้ได้ที่ 1,200 คัน
ผู้บริหารของทีโอเอวีเอชระบุว่า เป็นเรื่องที่ต้องยอมรับว่าธุรกิจของพวกเขานั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมที่เติบโตในช่วงโควิด-19 แต่มองว่าการปรับตัวไปเน้นธุรกิจที่หลากหลาย จะเป็นปัจจัยที่ทำให้พวกเขายังเติบโตในตลาดรถยนต์และอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้อย่างแน่นอนในอนาคต!!!