ระบบปรับอากาศในรถยนต์นั้น ถือเป็นระบบที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับประเทศเมืองร้อนที่เต็มไปด้วยฝุ่นอย่างประเทศไทย เพราะนอกจากระบบปรับอากาศจะช่วยทำความเย็นให้ตลอดการเดินทางแล้ว คุณภาพของอากาศในรถยนต์ก็จะขึ้นอยู่กับขีดความสามารถในการกรองอากาศของระบบปรับอากาศเช่นเดียวกัน
นอกจากการดูแลรถยนต์และเครื่องยนต์ให้พร้อมสำหรับการเดินทางแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ใช้รถต้องให้ความสำคัญก็คือ คุณภาพอากาศในรถและการทำความสะอาดแอร์ ที่หากละเลยการดูแล ก็สามารถส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจของผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้ และยังมีผลต่ออายุการใช้งานของตู้แอร์และคอมเพรเซอร์
การดูแลทำความสะอาดระบบปรับอากาศไม่ได้ช่วยให้แอร์ในรถเย็นสบายแต่เพียงเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์และข้อดีอีกมากมายที่หลายคนอาจยังไม่รู้ ซึ่งรวมไปถึงการช่วยยืดอายุการใช้งานของตู้แอร์และคอมเพรเซอร์แอร์ ลดการสะสมของสิ่งสกปรก และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงในระยะยาวได้อีกด้วย
ระยะเวลาที่เหมาะสมในการล้างแอร์
ไม่มีข้อกำหนดใดที่สรุปได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อไรที่ผู้ใช้รถควรจะทำการล้างระบบปรับอากาศในรถ แต่แน่นอนว่ามีผู้เชี่ยวชาญหลายคนให้คำแนะนำว่าการล้างแอร์ในรถยนต์นั้น ควรทำเป็นประจำเมื่อมีการใช้งานรถครบ 1 ปี หรือไม่ก็ดูระยะทางที่เหมาะสมที่ 2 หมื่นกิโลเมตร เพื่อให้ได้ระบบปรับอากาศที่สะอาดและพร้อมใช้งาน
นอกจากนี้ ระยะเวลาที่เหมาะสมนั้นยังขึ้นอยู่กับการใช้งานของรถยนต์ของผู้ใช้รถแต่ละคนด้วย ว่ามีพฤติกรรมอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น หากมีการนำของกินขึ้นมารับประทานบนรถ หรือมีปริมาณฝุ่นที่ติดมากับรองเท้า และการใช้น้ำหอมดับกลิ่นในรถที่มีลักษณะเป็นเจล ก็อาจจะทำให้ระบบปรับอากาศของรถนั้นอุดตันและต้องการการดูแลเร็วขึ้น
ซึ่งหากไม่แน่ใจว่าควรจะล้างระบบปรับอากาศของคุณหรือยัง ก็มีสิ่งบอกเหตุที่สามารถสังเกตได้ง่าย ๆ ในการใช้งานรถในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกลิ่นอับภายในรถหรือจากช่องลมแอร์ การที่ลมแอร์ออกน้อยลงไม่แรงเต็มที่ ก็อาจจะเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่ารถของคุณกำลังเตือนว่าน่าจะต้องถึงเวลาล้างตู้แอร์แล้ว
วิธีล้างตู้แอร์มีกี่แบบกันแน่นะ
ในปัจจุบันนั้น การล้างตู้แอร์ที่เป็นที่นิยมกันมีอยู่ 3 รูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป เริ่มกันที่แบบที่ 1 ได้แก่ การล้างตู้แอร์แบบถอดตู้ ซึ่งเริ่มจากการรื้อตู้แอร์และนำคอยล์เย็นออกมาล้างด้วยน้ำยาทำความสะอาด ซึ่งจะต้องนำน้ำยาแอร์ออกมาจากระบบ ทำให้ระบบเป็นสูญญากาศ และเติมน้ำยาแอร์ใหม่ รวมถึงต้องเปลี่ยนดรายเออร์อีกด้วย ซึ่งเป็นวิธีที่ยุ่งยากและเสียเวลานาน
แบบที่ 2 ได้แก่ การล้างตู้แอร์แบบไม่ถอดตู้ เป็นการทำความสะอาดที่ง่ายและรวดเร็วด้วยเครื่องล้างตู้แอร์ โดยใช้น้ำยาทำความสะอาดที่เหมาะสมในการล้างตู้แอร์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบและความเสียหายต่อตู้แอร์ โดยทั่วไปก่อนการล้าง ช่างจะนำกล้องขนาดเล็กเข้าไปส่องตรวจสอบสภาพตู้แอร์ก่อนการล้างเสมอ ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่ปลอดภัย ใช้เวลาน้อย และประหยัดค่าใช้จ่าย
และแบบสุดท้ายก็คือ การฉีดสเปรย์ทำความสะอาดตู้แอร์โดยไม่ต้องรื้อตู้ออกมา ด้วยการฉีดสเปรย์ทำความสะอาดให้ทั่วคอยล์เย็นซึ่งคราบน้ำยาจะค่อย ๆ ออกมาพร้อมกับน้ำแอร์ตามท่อน้ำทิ้ง ควรฉีดสเปรย์ 2-3 เดือนต่อครั้ง หากเจ้าของรถอยู่ในเมืองที่ต้องเจอกับฝุ่นเยอะ เหมาะสำหรับตู้แอร์ที่ไม่สกปรกมาก โดยค่าใช้จ่ายและราคาค่าฉีดสเปรย์มักจะสูงกว่าการล้างตู้แอร์ 2 แบบแรก
ข้อพึงระวังจากการล้างตู้แอร์
สิ่งที่ต้องพึงระวังก็คือเรื่องของการใช้น้ำยาทำความสะอาดที่เหมาะสมและมีคุณภาพ โดยเฉพาะการถอดตู้แอร์ออกมาล้าง ซึ่งหากใช้น้ำยาทำความสะอาดที่คุณภาพไม่ดีพอ เช่น ผงซักฟอก โซดาไฟ ก็จะทำให้ล้างออกยากและอาจล้างได้ไม่หมดจด สามารถสังเกตได้ว่าเวลาเปิดแอร์จะรู้สึกว่ามีกลิ่นผงซักฟอกหรือกลิ่นแปลกปลอมที่ออกมาจากระบบปรับอากาศ
นอกจากนี้ น้ำยาที่ไม่ได้คุณภาพ ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ โดยเฉพาะผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับระบบทางเดินหายใจ และในคนที่เป็นโรคภูมิแพ้อาจมีอาการแสบตาและจมูก เมื่อมีการสูดดมน้ำยาที่ล้างไม่สะอาดเข้าไปในร่างกาย รวมไปถึงอาจจะส่งผลกระทบต่อรถยนต์ เพราะน้ำยาทำความสะอาดตกค้างจะเกิดการกัดกร่อนคอยล์เย็นได้อีกด้วย
มีคำแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการยืดอายุการล้างแอร์ ก็คือการเคาะพรมทันทีเมื่อลงจากรถ เนื่องจากพัดลมแอร์มีตำแหน่งอยู่ใกล้กับพรมรองเท้า และเมื่อมีการสะสมสิ่งสกปรกไว้ พัดลมแอร์จะดูดสิ่งสกปรกเข้าไป ทำให้ตู้แอร์ตันเร็วขึ้น ก็จะสามารถยืดความถี่ในการล้างตู้แอร์ได้มากกว่า 2 ปี ต่อ 1 ครั้งเลยทีเดียว รวมถึงการเปลี่ยนไส้กรองอากาศตามที่กำหนดก็สามารถช่วยได้เช่นกัน