Toyota Fortuner (โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์) ถือเป็นหนึ่งสินค้าที่มีความสำคัญในตลาดประเทศไทยสำหรับพี่ใหญ่อย่าง Toyota (โตโยต้า) ที่เปิดตัวรุ่นอัพเกรดครั้งล่าสุดกันในช่วงกลางปีที่ผ่านมา ตัดหน้าคู่แข่งหลายรายที่เปิดตัวกันในช่วงไตรมาสที่ 3 ไปแล้ว ทำให้แย่งชิงตลาดไปได้เป็นกอบเป็นกำ
หลังจากที่ปรับโฉม ปรับเครื่องยนต์และเพิ่มอุปกรณ์จำนวนมาก ยอดขายของโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์นั้น ก็ดีวันดีคืน และเริ่มมียอดจำหน่ายเกิน 2,000 คันต่อเดือนได้ในช่วงตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา ท่ามกลางความซบเซาของตลาดพีพีวี ที่คู่แข่งต่างก็มียอดขายไม่ถึง 1,000 คันต่อเดือนกันทั้งหมด
นับถึง 11 เดือนแรกของปีนี้ โตโยต้าเป็นผู้นำในตลาดพีพีวี ด้วยยอดขายมากกว่า 1.7 หมื่นคัน คว้าส่วนแบ่งตลาดไป 46% เป็นผลมาจากการที่สินค้ารุ่นใหม่ของพวกเขานั้นโดนใจผู้บริโภค ทั้งรุ่นธรรมดาและรุ่นท็อปที่เปลี่ยนมาใช้ชื่อ ฟอร์จูนเนอร์ เลเจนเดอร์ เป็นครั้งแรกในรุ่นโฉมปีปัจจุบันนี้
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมากมายกับรถ ไม่ว่าจะเป็นการปรับสเปคของเครื่องยนต์ให้มีสมมรถนะสูงขึ้นเทียบเคียงกับคู่แข่ง พร้อมการอัพเกรดอุปกรณ์ความปลอดภัยมากมายจนเต็มคันรถ เป็นเหตุให้ช่องว่างในเชิงสมรรถนะและออพชั่นเริ่มบีบลดลงจากคู่แข่งมากมายในรุ่นก่อนหน้านี้
แม้จะแลกมาด้วยราคาจำหน่าย 1.839 ล้านบาท ซึ่งกลายเป็นพีพีวีที่แพงที่สุดในตลาดไปโดยปริยาย แต่รูปร่างหน้าตาที่ดูบึกบึน เครื่องยนต์ที่ปรับสมรรถนะเป็น 204 แรงม้า 500 นิวตันเมตร และระบบโตโยต้า เซฟตี้ เซนส์ เหนืออื่นใดคือชื่อเสียงอันหนักแน่นของโตโยต้า ก็ทำให้พวกเขาขายดีขึ้นมาก
AutoFun Thailand นำรุ่นท็อปมาทดสอบอีกครั้ง และพบว่ามันดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจริง ๆ นะ!!!
ราคาจำหน่าย 2020 Toyota Fortuner Legender |
เครื่องยนต์ 2.8 ลิตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ *** |
1.839 ล้านบาท |
เครื่องยนต์ 2.8 ลิตร ขับเคลื่อน 2 ล้อ |
1.769 ล้านบาท |
เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ |
1.634 ล้านบาท |
เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร ขับเคลื่อน 2 ล้อ |
1.564 ล้านบาท |
Highlight Toyota Fortuner การเปลี่ยนแปลงในรถคันนี้
- การเปลี่ยนชื่อรุ่นเป็น Toyota Fortuner Legender
- เครื่องยนต์ใหม่อัพเกรดสมรรถนะเพิ่ม
- ให้กำลัง 204 แรงม้า พร้อมแรงบิด 500 นิวตันเมตร
- ระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense
- ติดตั้งระบบช่วยเหลือด้านการขับขี่ทั้งออนโรด-ออฟโรด
ภายนอกของ Toyota Fortuner Legender ที่แข็งแกร่ง บึกบึน
ในตัวเลเจนเดอร์ รุ่นท็อป ที่เรานำมาทดสอบนั้น น่าจะเป็นสีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดจาก 3 สีที่มีการทำตลาดอยู่ อันประกอบไปด้วยสีแดงหลังคาดำ สีขาวหลังคาดำและสีดำล้วน ซึ่งมองแวบแรกนั้น ลูกค้าหลายคนจะชอบสีแดงที่สดใสและโดดเด่น แต่ตอนซื้อก็มักจะจบที่ขาวหรือดำมากกว่าอยู่ดี
การออกแบบภายนอกของรุ่นย่อยนี้ หากไม่ใส่ชื่อฟอร์จูนเนอร์มาด้วยก็ไม่ผิดกติกา เพราะงานออกแบบนั้นโดดเด่น แตกต่างและฉีกการออกแบบของสปอร์ติโว่ไปเยอะแยะมาก ด้วยชิ้นงานด้านหน้าที่ออกแบบใหม่เกือบทั้งหมด สร้างความแตกต่างให้กับรุ่นมาตรฐานอย่างเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น
ชิ้นส่วนด้านหน้าของรถ ตั้งแต่กันชนหน้า กระจังหน้าและชุดไฟหน้านั้นออกแบบมาอย่างลงตัวและดุดัน เสริมความโหดด้วยล้ออัลลอยขนาดใหญ่ถึง 20 นิ้ว พร้อมด้วยสีตัวถังแบบทูโทนที่ตัดกันอย่างลงตัวระหว่างสีขาวและสีดำ และชิ้นอุปกรณ์ภายนอกก็ตัดด้วยสีดำเกือบทุกชิ้นในรถคันนี้
ลายเส้นด้านข้างของรถที่ออกแบบมาอย่างโฉบเฉี่ยว เฉียบคม และเน้นการออกแบบตามอากาศพลศาสตร์ แต่แฝงไว้ด้วยการออกแบบตัวถังเพื่อให้ได้มิติในงานออกแบบที่สวยงามและมีสัดส่วนที่ดี มีความเป็นเอสยูวีมากขึ้นด้วยกรอบกระจกขนาดเล็กที่ต่อเนื่องกันไปถึงบานประตูขนาดใหญ่ด้านท้าย
ชุดไฟรอบคันเป็นแอลอีดีทั้งหมด ประตูบานท้ายมาพร้อมระบบเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า มีอุปกรณ์ช่วยเหลือติดตั้งอยู่ด้านนอกตัวรถมากมาย เช่น ระบบกล้อง 360 องศา หรือแม้แต่งานออกแบบอย่างครีบไล่อากาศด้านข้างรถ ก็ดูสวยงามเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับความสปอร์ตของรถ มองรวม ๆ ถือว่าดี
มิติตัวถัง Toyota Fortuner Legender |
กว้าง |
1,855 มิลลิเมตร |
ยาว |
4,795 มิลลิเมตร |
สูง |
1,835 มิลลิเมตร |
ระยะฐานล้อ |
2,750 มิลลิเมตร |
Toyota Fortuner ภายในเน้นหรูหรา อัดอุปกรณ์ครบครัน
การออกแบบภายในห้องโดยสารของเลเจนเดอร์นั้น ไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ตัวท็อปมากนัก ห้องโดยสารภายในสีดำที่ตัดกับชุดแต่งสีเงินเน้นความหรูหราแวววาว และเบาะที่นั่งขอบขาวที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของรุ่น คือตัวชูโรงหลักสำหรับโมเดลที่ทำตลาดรุ่นนี้
ออกแบบแผงคอนโซลหน้าให้มีลักษณะโค้งมนตามแนวกว้างของตัวรถ คอนโซลกลางตัดด้วยขอบสีเงินแนวตั้ง ที่ล้อมหน้าจอแสดงผลแบบสัมผัสเอาไว้ ช่องแอร์กลางมีขนาดค่อนข้างเล็กและวางตามแนวนอน ขณะที่ช่องแอร์ซ้าย-ขวานั้นมีขนาดที่ใหญ่กว่า และติดตั้งในตำแหน่งที่ค่อนข้างต่ำลงไป
พวงมาลัยทรงกลมจับถนัดมือ มาพร้อมปุ่มควบคุมต่าง ๆ มากมาย แป้นแพดเดิลชิฟท์ที่คอพวงมาลัย ช่องว่างด้านบนนั้นมีขนาดใหญ่โตพอที่จะมองเห็นหน้าจอแสดงผลแบบผสมผสานระหว่างดิจิตอลและอะนาล็อกได้เป็นอย่างดี แถมการควบคุมก็ทำได้อย่างง่ายดายจากบนพวงมาลัยทั้งหมด
คันเกียร์ของรถนั้นเป็นแบบที่เห็นมานานแบบขั้นบันได มาพร้อมเบรกมือขนาดใหญ่ และปุ่มเลือกโหมดการขับขี่ตรงตำแหน่งระหว่างเบาะคนขับ ช่องเล็ก ๆ ใต้จอแสดงผลและปุ่มปรับระบบปรับอากาศ เป็นที่ซ่อนของระบบชาร์จไฟแบบไร้สาย ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ติดตั้งเพิ่มขึ้นมาล่าสุดในรถคันนี้
เบาะที่นั่งแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง ก็ยังมีจุดอ่อนอยู่ที่เบาะแถวที่ 3 ที่ยังไม่สามารถพับได้เรียบเพื่อบรรทุกสัมภาระชิ้นโตได้ อีกทั้งยังเป็นเบาะระบบแขวนเข้าด้านข้างเหมือนเดิม ทำให้ยังกินพื้นที่ในการใช้งานอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่แฟน ๆ ของฟอร์จูนเนอร์รับรู้อยู่แล้ว กว่าจะปรับได้ก็คงต้องรอโมเดลใหม่กันไปเลย
ขณะที่เบาะโดยสารอื่น ๆ นั้นออกแนวสบาย เหมาะสมสำหรับการเดินทางไกล แต่ไม่ได้โอบกระชับมากมาย เรียกว่าผู้ใหญ่น่าจะชอบกับความสะดวกสบายนี้ เข็มขัดนิรภัยมีมาให้ครบทุกที่นั่ง รวมไปถึงจุดล็อกเบาะเดินทางสำหรับเด็กก็มีมาให้เรียบร้อย เรียกได้ว่าเป็นพีพีวีสำหรับครอบครัวอย่างแท้จริง
อีกจุดที่ผมชอบมากสำหรับเจ้าฟอร์จูนเนอร์ เลเจนเดอร์ ก็คือประตูของห้องโดยสารที่เปิดค่อนข้างกว้าง และมีองศาการเปิดที่ดี แถมมีมือจับให้เหนี่ยวตัวขึ้นไปบนรถได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าตัวรถจะค่อนข้างสูงก็ตาม บันไดข้างนั้นพอเหมาะพอเจาะ เรียกว่าเด็กหรือผู้สูงวัยก็ปีนได้ไม่ติดขัดอย่างแน่นอน
Toyota Fortuner เครื่องยนต์ที่พัฒนามา พร้อมระบบใหม่อีกเพียบ
แม้จะเป็นเครื่องยนต์บล็อกเดิม แต่โตโยต้าเลือกที่จะเติมความสดใหม่ให้กับรถคันนี้ ด้วยการปรับปรุงเพื่อให้ได้สมรรถนะที่ดีขึ้น ผลก็คือ เครื่องยนต์รุ่นใหม่ของพวกเขานั้นสามารถเทียบเคียงกับคู่แข่งอย่าง Ford Everest (ฟอร์ด เอเวอเรสต์) ที่ยืนหนึ่งเรื่องของสมรรถนะเหนือใครมาอย่างยาวนาน
เครื่องยนต์ดีเซลรหัส 1GD-FTV ของโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ขนาด 2,755 ซีซี. ได้รับการปรับแต่งใหม่เพื่อให้ได้สมรรถนะเพิ่มเป็น 204 แรงม้าที่ 3,400 รอบต่อนาที พร้อมด้วยแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,600-2,800 รอบต่อนาที การส่งกำลังยังคงเป็นหน้าที่ของระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด
นอกเหนือจากการปรับปรุงด้านสมรรถนะแล้ว เครื่องยนต์ตัวท็อปของพวกเขายังมาพร้อมเพลาปรับสมดุล ที่จะช่วยลดเสียงและแรงสั่นสะเทือน เพิ่มความเงียบและความนุ่มนวลในการขับขี่ พร้อมเพิ่มระบบบังคับเลี้ยวที่จะช่วยควบคุมพวงมาลัยให้แปรผันตามระดับความเร็วของตัวรถอีกด้วย
โหมดการขับขี่เลือกได้ 3 โหมด ประกอบไปด้วยโหมดธรรมดา โหมดอีโค สำหรับการประหยัดน้ำมัน และโหมดสปอร์ต เพื่อความสนุกสนานในการขับขี่ที่เพิ่มขึ้น ขอบอกว่าโหมดสปอร์ตของเลเจนเดอร์นั้น ถือว่าไม่ธรรมดา เพราะเปลี่ยนการตอบสนองของรถไปอย่างมากมายสนุกเอาเรื่อง
การตอบสนองของรถนั้นมีความว่องไวและกระฉับกระเฉงมากขึ้น ด้วยแรงม้าและแรงบิดที่เพิ่มขึ้นมา ห้องโดยสารให้ความสะดวกสบายในการใช้งาน การเก็บเสียงนั้น อาจจะไม่ได้เงียบสงัดมาก แต่ก็สามารถเปิดเพลงกลบบรรดาเสียงแทรกต่าง ๆ ไม่ว่าจะลมด้านหน้าหรือเสียงจากล้อได้สบาย
พวกเขายังเคลมอีกว่ารถคันนี้ให้ความสะดวกสบายในการขับขี่บนเส้นทางออฟโรด ด้วยการปรับรอบเครื่องยนต์เดินเบาลงมาให้มีความเหมาะสมกับการขับขี่ ซึ่งน่าเสียดายที่ตอนที่ยืมมาไม่มีโอกาสได้เอารถคันนี้ออกไปวิ่งออฟโรด หากมีโอกาสจะยืมไปลองกันให้เห็นอีกสักทีก็น่าจะดีเหมือนกัน
มาพร้อมระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของระบบเตือนก่อนการชน ระบบควบคุมและปรับลดความเร็วอัตโนมัติ และระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมระบบT-Connect ที่สามารถเช็กตำแหน่งรถตามเวลาจริง รวมถึงระบบป้องกันการโจรกรรมตลอดเวลา
รายละเอียดทางเทคนิค |
เครื่องยนต์ |
1GD-FTV |
ความจุ |
2,755 ซีซี. |
กำลังสูงสุด |
204 แรงม้า |
แรงบิดสูงสุด |
500 นิวตันเมตร |
ระบบส่งกำลัง |
อัตโนมัติ 6 สปีด |
Toyota Fortuner ปรับมาดีขึ้น จนคู่แข่งต้องกลัวล่ะ
ถ้าพูดถึง Toyota Fortuner สมัยเก่า ที่แม้จะมีตัวแต่งอย่าง TRD Sportivo มาก็ตามที เราก็จะมีจุดที่ติติงได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ของรถที่ไม่ได้ต่างจากเบสของเขาอย่าง Toyota Hilux REVO (โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่) สักเท่าไหร่ หรือแม้แต่สมรรถนะที่อาจจะเป็นรองคู่แข่งเมื่อมองตัวเลขเป็นหลัก
แม้โตโยต้าจะมีความสุขดีกับยอดจำหน่ายของรถในกลุ่มพีพีวี แต่เมื่อผู้บริโภคยังมีข้อให้ติงอยู่มาก โตโยต้าก็เลยปรับตัวสินค้าเสียใหม่ พวกเขาใช้ทีมงานคนไทยเป็นผู้นำในการพัฒนารถรุ่นล่าสุดในครั้งนี้ และก็มาพร้อมความน่าตื่นเต้นหลายอย่าง ที่รู้สึกว่าโตโยต้านั้นตั้งใจทำสินค้าตัวนี้อย่างจริงจังขึ้น
พวกเขารู้แล้วว่าลูกค้ากลุ่มนี้มีเงินและไม่ชอบหรอกที่จะซื้อรถที่หน้าตาเหมือนรถปิกอัพ จะเห็นว่าตั้งแต่รุ่นมาตรฐานของฟอร์จูนเนอร์มาจนถึงเลเจนเดอร์นั้นมีการออกแบบที่แตกต่าง โดดเด่น และมีแนวทางในการออกแบบของตัวเองที่เด่นชัด อันนี้รวมถึงตัวถังแบบทูโทนเข้าไปด้วยนะ
เมื่อลูกค้าเปิดสเปกชีทแล้วรู้สึกว่าตัวเลขเครื่องยนต์เดิมมันน้อยกว่าคู่แข่ง พวกเขาก็ตัดสินใจจูนเครื่องยนต์ใหม่ให้สมรรถนะนั้นไม่แพ้คู่แข่งในเชิงของตัวเลข และได้กลับมาซึ่งความนุ่มนวลในการใช้งาน พร้อมด้วยการติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ เข้าไปมากมายให้เรียกว่าประกบคู่แข่งได้แบบชิ้นต่อชิ้น
ถามว่าทำแล้วลูกค้าชอบไหม กลับไปดูที่ตัวเลขยอดขายที่เราใส่ไว้ที่หัวเรื่องกันได้ครับ การตอบรับของผู้บริโภคที่เหนือกว่าตลาดอย่างชัดเจนคือคำตอบ แม้หลาย ๆ คนจะบอกว่า ก็ Isuzu MU-X (อีซูซุ มิว-เอ็กซ์) เพิ่งเปิดตัวก็ตาม แต่กับโตโยต้าแล้วถือว่าพวกเขาขายได้ดีกว่าเดิมเยอะแยะอยู่
สิ่งที่ผมชอบในรถคันนี้ก็คือหน้าตาที่โดดเด่นและรู้สึกว่าเป็นงานแพง เครื่องยนต์ที่โอเคขึ้นกว่าเดิมเยอะ โดยเฉพาะโหมดสปอร์ต คาวมเนี๊ยบและเรียบลื่นของรถมีมาให้ครบครัน อุปกรณ์ครบถ้วน ถ้าจะมีให้ติก็คงเป็นราคาที่แพงที่สุดในคลาส กับเบาะที่นั่งแถว 3 ที่พับเรียบไม่ได้เพียงเท่านั้นเอง
ลูกค้าที่ต้องการใช้งานรถยนต์แบบ 7 ที่นั่ง ที่ต้องการความพรีเมียม หรูหรา เอาไปออกงานก็ได้ หรือถ้าไม่เสียดายรถจะเอาไว้ลุยป่าบุกเขาเผากระท่อมก็ไม่ผิดกติกา แถมมีออพชั่นมาให้ครบครัน ถ้าไม่มองว่าราคา 1.839 ล้านบาทดูแพงไป คุณจะชอบเจ้าโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ เลเจนเดอร์ อย่างแน่นอน
คู่แข่งที่น่าสนใจของ Toyota Fortuner Legender
Ford Everest Titanium+ 4.4 เจ้าของค่าตัว 1.799 ล้านบาท
ฟอร์ด เอเวอเรสต์ เป็นยืนหนึ่งด้านสมรรถนะและอุปกรณ์ต่าง ๆ มากมายที่ติดตั้งมาอย่างเพียบพร้อมสำหรับรถพีพีวีในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน และนี่คือการโดนไล่ตามอย่างเป็นทางการครั้งแรกของพวกเขา ทำให้ทั้งด้านสมรรถนะและความพร้อมของระบบต่าง ๆ ที่มีอยู่นั้นไม่ถือว่ามีความแตกต่างกันมาก
จุดขายที่ยังเหนือกว่าก็คือเบาะที่นั่งแถวที่ 3 แบบพับได้เรียบด้วยระบบไฟฟ้า ซันรูฟขนาดใหญ่เท่าห้องโดยสาร เครื่องยนต์ดีเซล ไบ-เทอร์โบ ขนาด 213 แรงม้า เหนือกว่าใคร แต่แรงบิดนั้นเท่ากันที่ 500 นิวตันเมตร การส่งกำลังเป็นหน้าที่ของเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด พร้อมด้วยระบบความปลอดภัยแบบครบครันไม่น้อยหน้ากันเลย
Isuzu MU-X Ultimate 3.0 A/T 4x4 เจ้าของค่าตัว 1.579 ล้านบาท
คู่แข่งสายตรงทางด้านยอดจำหน่ายของฟอร์จูนเนอร์ แต่เพิ่งเปิดตัวช่วงไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา สำหรับอีซูซุ มิว-เอ็กซ์ ที่รุ่นท็อปมาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร ที่ให้พละกำลัง 190 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ที่ดูเป็นรองในเรื่องของสมรรถนะอย่างชัดเจน
มิว-เอ็กซ์รุ่นท็อปมาพร้อมระบบ ADAS หรือ Advanced Driver Assistance Systems ทำงานด้วยกล้องหน้าคู่อัจฉริยะใหม่ที่แม่นยำกว่ากล้องเดี่ยว ช่วยตรวจจับวัตถุด้านหน้า ทำงานร่วมกับเรดาร์ 2 จุดและ เซนเซอร์ 8 จุดรอบคัน เรียกว่าด้านความปลอดภัยแล้ว พวกเขาไม่น้อยหน้าและพร้อมแข่งกับทุกคนได้สบาย
Mitsubishi Pajero Sport 2.4 GT Premium 4WD Elite Edition เจ้าของค่าตัว 1.629 ล้านบาท
ชายกลางแห่งบ้านพีพีวี ที่ไม่มีทางเลือกทางด้านเครื่องยนต์ให้มากนัก กับเครื่องยนต์ดีเซล 2.4 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 18 1 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร แต่ออกตัวและเร่งเครื่องอย่างฉับไวต่อเนื่อง ด้วยระบบส่งกำลังแบบ 8 สปีด และมาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อรุ่นใหม่อันลือชื่อของมิตซูบิชิเอง
รุ่นท็อปมาพร้อมระบบความปลอดภัยทั้งถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง กล้องมองภาพรอบคัน ระบบล็อกความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติ ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา พร้อมระบบสัญญาณเตือนขณะเปลี่ยนเลน ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรงพร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว ที่ถือว่าให้มาครบครันไม่แพ้กัน