Mercedes-Benz (เมอร์เซเดส-เบนซ์) ประกาศเดินหน้าสู่ความเป็นผู้นำในตลาดยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ โดยพวกเขาเตรียมเดินหน้าพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้นตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป โดยจะเริ่มต้นจาก 3 แพลตฟอร์มหลักรุ่นใหม่
นอกจากนี้ พวกเขามีแผนการว่าจะเดินหน้าพัฒนาและจำหน่ายเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้นตั้งแต่ปี 2573 ที่จะถึงนี้ โดยจะต้องมีการปรับเปลี่ยนโรงงานทั่วโลกให้สามารถรองรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้ รวมถึงการพัฒนาเครือข่ายสถานีชาร์จออกไปทั่วโลก
ค่ายรถยนต์หรูมีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตแบตเตอรี่มากกว่า 200 กิกกะวัตต์ชั่วโมง โดยแผนงานนี้จะประกอบไปด้วยการเปิดโรงงานกิกะแฟคตอรี่ 8 แห่งทั่วโลก และการเข้าซื้อกิจการ Yasa ซึ่งเป็นผู้ผลิตมอเตอร์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงในสหราชอาณาจักร
เริ่มจากการขยายตลาดอีวีไปทุกเซกเมนต์
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประกาศว่า นับตั้งแต่ปี 2565 รถยนต์ทุกเซกเมนต์ของพวกเขาจะต้องมีรุ่นที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงกลุ่มรถซับแบรนด์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น AMG (เอเอ็มจี) Maybach (มายบัค) หรือ G (จี) ก็จะมีรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ทั้งสิ้น
ด้วยเม็ดเงินลงทุนจำนวนมหาศาลกว่า 4 หมื่นล้านยูโร (มากกว่า 1.55 แสนล้านบาท) ที่ค่ายรถยนต์ตราดาวเตรียมเอาไว้เพื่อใช้ลงทุนในการพัฒนาและขยายแผนงานด้านยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก ตั้งแต่ปี 2565-2573 จะเป็นพื้นฐานสำคัญในการก้าวเข้าสู่ยุคของอีวี
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน ในปี 2563 เมอร์เซเดส-เบนซ์ จะเปิดตัวแพลตฟอร์มสำหรับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่อีก 3 แพลตฟอร์มประกอบไปด้วย MB.EA ซึ่งใช้สำหรับการพัฒนารถยนต์นั่งขนาดกลางและขนาดใหญ่ เป็นแพลตฟอร์มหลักในการพัฒนารถรุ่นใหม่
ตามมาด้วย AMG.EA ที่จะใช้ในการพัฒนารถยนต์สมรรถนะสูง สำหรับตอบสนองความต้องการของลูกค้าเมอร์เซเดส-เอเอ็มจีโดยเฉพาะ และ VAN.EA ที่จะเป็นหลักในการพัฒนารถตู้ไฟฟ้าและรถยนต์เชิงพาณิชย์ขนาดเล็ก สำหรับการขนส่งที่ไร้มลพิษ
"อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดในเรื่องของสถานีชาร์จไฟ ทำให้การใช้งานรถยนต์ไฮบริดที่มีระยะการขับขี่เหนือกว่ายังเป็นเรื่องจำเป็น ซึ่งเราก็จะเดินหน้าขยายสถานีชาร์จไฟไปพร้อม ๆ กันอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับลูกค้าของเราที่จะเพิ่มเข้ามาในอนาคต"
เปิดกิกะแฟคตอรี่ 8 แห่ง เพิ่มกำลังการผลิต 200 กิกะวัตต์ชั่วโมง
เพื่อการสร้างความยั่งยืนให้กับการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้น พวกเขาต้องการที่จะขยายกำลังการผลิตแบตเตอรี่เพิ่มเป็นไม่น้อยกว่า 200 กิกะวัตต์ชั่วโมงในอนาคต นั่นคือสาเหตุของแผนการเปิดโรงงานกิกะแฟคตอรี่อีก 8 แห่ง ตามแผนการในอนาคต
โรงงานกิกะแฟคตอรี่แห่งแรกจะเปิดในประเทศสหรัฐอเมริกา ตามมาด้วยอีก 4 แห่งในยุโรป และยังไมเปิดเผยสถานที่อีก 3 แห่ง และพวกเขาก็เตรียมเปิดตัวโรงงานรีไซเคิลแบตเตอรี่ในประเทศเยอรมนี ตามแผนงานที่วางเอาไว้ว่าจะเปิดแน่นอนในปี 2566 นี้
ไม่ใช่แค่การเตรียมความพร้อมเรื่องการผลิตแบตเตอรี่ แต่โรงงานผลิตรถยนต์ทั่วโลกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ก็ต้องมีความพร้อมเช่นเดียวกัน ผู้บริหารของค่ายระบุว่าภายในปี 2565 นี้ โรงงานทุกแห่งทั่วโลกของพวกเขาจะต้องพร้อมในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า
"เป้าหมายของเมอร์เซเดส-เบนซ์ก็คือการนำเสนอสินค้าที่เป็นยานยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่นเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย รวมไปถึงซับแบรนด์ทั้งหมดของบริษัทก็จะต้องมีความพร้อมในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน ซึ่งเราวางแผนที่จะเดินหน้าเรื่องนี่กันอยู่"
หลาย ๆคนจะชินกับ Mercedes-Benz EQS (เมอร์เซเดส-เบนซ์ อีคิวเอส) รถพลังงานไฟฟ้ารุ่นใหญ่ของค่าย หนึ่งใน 4 โมเดลใหม่ล่าสุดของปีนี้ และพวกเขาเตรียมสร้างความประหลาดใจอีกครั้งกับต้นแบบที่มีชื่อว่า VISION EQXX (วิชั่น อีคิวเอ็กซ์เอ็กซ์)
VISION VQXX ต้นแบบรถยนต์ไฟฟ้าวิ่งได้ไกลกว่า 1,000 กิโลเมตร
ในงานแถลงข่าววันนี้ นอกเหนือจากการแสดงให้เห็นถึงอนาคตของการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าแล้ว พวกเขาได้พรีวิวรถต้นแบบรุ่นใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมเทคโนโลยีรุ่นใหม่ที่ว่ามา และเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกที่สามารถวิ่งได้ระยะทางไกลกว่า 1,000 กิโลเมตร
แม้ว่ารถรุ่นนี้จะอยู่ระหว่างการพัฒนาเพื่อที่จะเปิดตัวในอนาคต แต่เมอร์เซเดส-เบนซ์มีเป้าหมายให้รถคันนี้มีสมรรถนะด้านการใช้พลังงานหลักหน่วยกิโลวัตต์ชั่วโมงต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร หรือคิดง่าย ๆ ต่อ 1 กิโลวัตต์ชั่วโมงจะต้องวิ่งได้มากกว่า 6 ไมล์ (ประมาณ 9.66 กิโลเมตร)
ถือเป็นการรวมพลังของทีมอเวนเจอร์สจากค่ายรถยนต์ตราดาว ซึ่งรวมไปถึงทีมพัฒนาเครื่องยนต์สมรรถนะสูงจากเอฟวัน รถคันนี้พร้อมที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2565 และจะมาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ ๆ สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าของค่ายด้วยเช่นกัน