Mazda (มาสด้า) รับกำลังศึกษาตลาดปิกอัพตกแต่งรูปแบบต่าง ๆ หวังเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคในอนาคต แต่ยังต้องพิจารณาอย่างรอบคอบทั้งความเหมาะสมและจำนวนที่ต้องทำตลาดได้ ตั้งเป้าหมายสูงสุดทำยอดขายไม่น้อยกว่า 2.8 หมื่นคันเท่าที่เคยทำได้สูงสุด พร้อมขึ้นแท่นอันดับ 3 ของตลาดในอนาคต
ชาญชัย ตระการอุดมสุข ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากการแนะนำ 2021 Mazda BT-50 (มาสด้า บีที-50) ในประเทศไทย ด้วยรูปลักษณ์ใหม่และการพัฒนาร่วมกับพันธมิตรอย่าง Isuzu D-Max (อีซูซุ ดีแมคซ์) ทำให้มั่นใจว่าจะสร้างยอดจำหน่ายได้เพิ่มมากขึ้นในประเทศไทย
นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อพัฒนาสินค้ารูปแบบใหม่ ๆ เพิ่มเติม จากที่ปัจจุบันมีการทำตลาดอยู่ใน 14 รุ่นย่อย 3 ตัวถัง ราคาจำหน่ายตั้งแต่ 5.53 แสนบาทไปจนถึง 1.153 แสนบาท แต่ก็มองว่าตลาดประเทศไทยยังมีความต้องการปิกอัพรูปแบบอื่น ๆ ที่อาจจะต้องเพิ่มไลน์สินค้ามารองรับอีกในอนาคต
ตัวเตี้ยแต่งซิ่ง เป็นสินค้าที่น่าสนใจ
แม้จะไม่ได้ระบุออกมาชัดเจนว่ามาสด้าเตรียมพัฒนาปิกอัพรุ่นใหม่ออกมาในรูปแบบใด แต่ชาญชัยก็ยอมรับว่าตลาดรถปิกอัพตัวเตี้ยแต่งซิ่งนั้นกำลังเป็นอีกตลาดที่ได้รับความนิยม รวมไปถึงตลาดชุดแต่งที่เน้นไลฟ์สไตล์และความแข็งแกร่งบึกบึน แต่ยังต้องใช้เวลาในการศึกษาตลาดและความต้องการของลูกค้า
"เอาจริง ๆ เราก็กำลังศึกษาอยู่หลาย ๆ รูปแบบ เพราะเรามองว่าตลาดเองก็มีความต้องการที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม คงต้องดูในเรื่องของจำนวนที่จะผลิตและความคุ้มค่าในการทำตลาดในอนาคต หากมีทางเป็นไปได้ มาสด้าก็พร้อมที่จะส่งสินค้ารุ่นใหม่ ๆ ออกมาทำตลาดในประเทศเพิ่มเติมในอนาคต"
ทั้งนี้ มาสด้าตั้งเป้าหมายการจำหน่ายบีที-50 ปีแรกเอาไว้ที่ 1.5 หมื่นคัน หรือคิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 4-5% ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้พวกเขาขึ้นไปเป็นอันดับ 4 ของตลาดรวม และคาดว่าในอนาคต พวกเขาอาจจะทำยอดจำหน่ายสูงสุดได้เหนือกว่าที่เคยทำได้ปีละ 2.8 หมื่นคัน ยึดอันดับ 3 ได้อย่างเหนียวแน่น
ทำไมมาสด้ามั่นใจว่าตัวเองจะขายดี
AutoFun Thailand มีโอกาสแแอบพูดคุยกับหลาย ๆ บุคคลที่เกี่ยวข้องกับมาสด้า บีที-50 และก็พบว่าพวกเขาเหล่านั้นมีความมั่นใจในตัวสินค้ารุ่นนี้เป็นอย่างมาก โดยปัจจัยหลักมาจากการออกแบบด้านรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูดีและทันสมัยเมื่อเทียบกับในท้องตลาด เรียกว่าเป็นปิกอัพที่หล่อเหลาเอาการ
อีกประเด็นก็คือการเปลี่ยนมือมาเป็นพันธมิตรใหม่อย่างอีซูซุ ดีแมคซ์นั้น แม้ชื่อชั้นด้านสมรรถนะอาจจะสู้กับพันธมิตรเก่าอย่าง Ford Ranger (ฟอร์ด เรนเจอร์) ไม่ได้ แต่ภาพลักษณ์ของการเป็นผู้นำตลาดนั้นแตกต่างกันมาก ซึ่งมาสด้าเองก็มองว่าน่าจะมีกลุ่มลูกค้าที่อยากได้กระบะที่เชื่อใจได้มาเป็นลูกค้า
นอกจากนี้ ฐานลูกค้าเดิมของมาสด้าที่เป็นเจ้าของบีที-50 กว่า 2 แสนคน ก็อาจจะมีความต้องการเปลี่ยนรถกระบะของพวกเขาหันมาใช้ยี่ห้อเดิมที่มีความคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี และสิ่งสุดท้ายที่พวกเขามั่นใจก็คือ คุณสมบัติของรถคันนี้นั้น ถือว่าไม่ได้แพ้คู่แข่งหน้าไหนในตลาดเลย หากเทียบกันตัวต่อต่อ
ตลาดชุดแต่งจากโรงงาน ตลาดใหม่ที่น่าสนใจยิ่งขึ้น
ตลาดรถปิกอัพในประเทศไทยที่มีส่วนแบ่งตลาดราว 55-60% ของตลาดรวมรถยนต์มาตลอด มีการเปลี่ยนแปลงมาหลายต่อหลายครั้ง และแน่นอนว่าการเปิดตัวปิกอัพพร้อมชุดแต่งจากโรงงาน ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจที่ผู้ผลิตรถปิกอัพเดินหน้าทำตลาดมาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่่ผ่านมา
แต่ไม่ใช่ว่าทุกค่ายจะสนใจ เพราะตลาดลูกค้ากลุ่มนี้ก็มีอยู่ไม่มาก ผู้นำที่แท้จริงก็น่าจะเป็น Ford Ranger Wildtrak (ฟอร์ด เรนเจอร์ ไวล์ดแทร็ค) ที่ทำตลาดมายาวนาน ตามมาด้วย Toyota Hilux REVO Rocco (โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ ร็อคโค่) ซึ่งเป็นตัวแต่งเวอร์ชั่นล่าสุดของค่ายเบอร์สองปิกอัพ
ตัดกลับมาที่ค่ายผู้นำอย่างอีซูซุนั้น ก็ไม่ได้เน้นอะไรมากมาย แม้จะมีเวอร์ชั่นขับเคลื่อนสี่ล้ออย่าง Isuzu D-Max V-Cross (อีซูซุ ดีแมคซ์ วี-ครอส) รวมถึงตัวเตี้ยขาลุยอย่าง Isuzu X-Series (อีซูซุ เอ็กซ์-ซีรี่ส์) ที่เริ่มเข้ามาทำตลาดกันอย่างคึกคักในช่วงกลางปี 2563 ที่ผ่านมา ก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
Mitsubishi Triton Athelete (มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีธ) ก็เป็นอีกรุ่นที่มีการเดินหน้าทำตลาดมาแล้วหลายปี แม้จะเน้นการตกแต่งไม่มากเท่าไหร่ แต่ก็โดนใจบรรดาชาวปิกอัพอยู่ และล่าสุด Nissan Navara Pro4X (นิสสัน นาวาร่า โปร4เอ็กซ์) ก็เป็นตัวแต่งรุ่นท็อปจากค่ายนิสสันที่เปิดตลาดมาเช่นเดียวกัน
แนวทางของมาสด้าที่ไม่ได้เน้นความหวือหวาในตลาดปิกอัพมานาน ยังมองไม่ออกว่าพวกเขาจะพัฒนารถกระบะใหม่ ๆ ออกมาอย่างไร แต่หากมองว่านำบีที-50 ตัวเตี้ยไปแต่งซิ่ง หรือเอารุ่นท็อปมาเพิ่มอุปกรณ์ให้ดูดุดันกว่าเดิม ก็น่าจะเป็นทางออกที่น่าสนใจ ว่าแต่เมื่อไหร่ค่ายปีกบินจะทำออกมากันนะ!!!