Mazda (มาสด้า) ที่อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดตัว Mazda BT-50 (มาสด้า บีที-50) ในประเทศไทย ตามกำหนดการณ์เดิมในช่วงเดือนมกราคมนี้ ประกาศว่าปิกอัพรุ่นใหม่จะเป็นตัวผลักดันให้ยอดจำหน่ายรวมของมาสด้าในปีนี้เติบโต 30% หรือมีส่วนแบ่งตลาดมากถึง 6% อย่างแน่นอน
ทั้งนี้ ตลาดปิกอัพถือเป็นตลาดที่มีความสำคัญมากในประเทศไทย โดยมีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 50% และในปี 2563 ที่ผ่านมา มาสด้าทำทำตลาดมาสด้า บีที-50 รุ่นเก่า ทำให้มีส่วนแบ่งในตลาดนี้น้อยมาก และเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้พวกเขามียอดจำหน่ายลดลงต่ำกว่า 4 หมื่นคัน หรือหดตัว 32%
ชาญชัย ตระการอุดมสุข ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า มาสด้าตั้งเป้าหมายการจำหน่ายรถยนต์ในประเทศไทยในปี 2564 ที่ 5 หมื่นคัน หรือมีส่วนแบ่งประมาณ 6% จากตลาดที่คาดว่าจะขยายตัวเล็กน้อยมียอดจำหน่ายรวม 8.4 แสนคันในปี 2564
จับตามองโควิด-19 ส่งผลกระทบตลาด
"การเติบโตของตลาด ก็ยังคงต้องจับตามองว่าการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 จะส่งผลมากน้อยแค่ไหนต่อภาพรวมประเทศไทย เนื่องจากเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งในปีที่ผ่านมา ตัวเลขรวมของอุตสาหกรรมทั้งปีอยู่ที่ประมาณ 7.9 แสนคัน ลดลงประมาณ 20% จากการคาดการณ์"
สำหรับมาสด้า เคยตั้งเป้าไว้ที่ 5 หมื่นคัน แต่การระบาดของโควิด-19 ไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย เกิดการล็อกดาวน์ประเทศ มาสด้าได้ปรับเป้าการขายมาอยู่ที่ 45,000 คันในช่วงกลางปีที่ผ่านมา แต่สุดท้ายก็ทำยอดขายรวมได้ที่ 39,266 คัน หรือลดลงประมาณ 32% ต่ำกว่าเป้าที่ตั้งเอาไว้
ยอดขายดังกล่าวก็ยังถือว่าเป็นจำนวนที่สูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียนและตลาดเกิดใหม่ แบ่งออกเป็นรถยนต์นั่ง 24,839 คัน รถอเนกประสงค์เอสยูวี 11,716 คัน รถปิกอัพ 2,711 คัน ส่งผลให้เทคโนโลยีสกายแอคทีฟและโคโดะ ดีไซน์ มียอดขายสะสมเกือบ 3 แสนคัน ภายในระยะเวลาเพียง 7 ปี
หวังปิกอัพ บีที-50 เพิ่มยอดขาย
ชาญชัยกล่าวว่า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการขายที่ตั้งเอาไว้ในปีนี้ มาสด้าจะเสริมความแข็งแกร่งด้วยการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ หลากหลายรุ่นที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะการเปิดตัว All-New Mazda BT-50 ที่มาสด้าจะมาสร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญในตลาดรถปิกอัพ
2021 Mazda BT-50 รถปิกอัพรุ่นใหม่ล่าสุดของประเทศในปี 2021 เป็นอีกครั้งที่ Mazda (มาสด้า) หันมาพัฒนารถร่วมกันกับ Isuzu D-Max (อีซูซุ ดีแมคซ์) หลังจากที่ก่อนหน้านี้ทำร่วมกับ Ford Rager (ฟอร์ด เรนเจอร์) มานาน ซึ่งมาสด้าระบุว่าจะเป็นก้าวสำคัญของการบุกตลาดปิกอัพอีกครั้ง
แม้พื้นฐานในการออกแบบและพัฒนาจะเป็นรถกระบะที่ขายดีที่สุดในประเทศอย่างดีแมคซ์ แต่พวกเขาได้เพิ่มความสดใหม่เอาใจลูกค้า ด้วยการนำแนวคิดการออกแบบ KODO Design : Soul of Motion จิตวิญญานแห่งความเคลื่อนไหว มาปรับใช้กับการออกแบบรถกระบะของพวกเขาเป็นครั้งแรก
ผู้บริหารของมาสด้าระบุว่านี่คือการออกแบบรถปิกอัพที่สามารถใช้ได้ทุกโอกาส (Built for Dress and Jeans) ที่เรียบง่าย สง่างาม ใช้ได้งานทุกโอกาส การเลือกสัดส่วนที่เหมาะสมกับรถ กระจังหน้าขนาดใหญ่และการยกตำแหน่งของฝากระโปรง ทำให้สวยงามและลงตัวกับเส้นด้านข้างของตัวรถ
หากมาดูที่ด้านของมิติตัวถังนั้น แม้จะเป็นรถที่พัฒนามาบนแพลตฟอร์มของดีแมคซ์ แต่พวกเขากลับมาความยาวของตัวรถที่มากกว่าเล็กน้อยเพียง 15 มิลลิเมตร ขณะที่มิติด้านอื่น ๆ ถือว่าไม่มีความแตกต่าง และหากเทียบกับรุ่นเดิม จะพบว่ามิติเกือบทั้งหมดนั้น ลดลงไปอย่างเห็นได้ชัดเจน
มาสด้า บีที-50 ใหม่ มาพร้อมความยาวของตัวรวมกันชน 5,280 มิลลิเมตร ความสูงในรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ-ยกสูงอยู่ที่ 1,790 มิลลิเมตรและรุ่นมาตรฐานที่ 1,700 มิลลิเมตร ความกว้างรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ-ยกสูงอยู่ที่ 1,870 มิลลิเมตรและรุ่นมาตรฐานที่ 1,810 มิลลิเมตร และมีฐานล้อยาว 3,125 มิลลิเมตร
เครื่องยนต์และระบบส่งกำลังยกมาจากดีแมคซ์ทั้งหมด ทั้งเครื่องยนต์ 1.9 ลิตร ที่ให้กำลัง 150 แรงม้าที่ 3,600 รอบต่อนาที พร้อมด้วยแรงบิด 350 นิวตันเมตรที่ 1,800-2,600 รอบต่อนาที ระบบส่งกำลังแบบธรรมดา 6 สปีดและอัตโนมัติ 6 สปีด โดยระบุว่าประหยัดน้ำมัน 6.6 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร
และเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร ซึ่งเป็นเครื่องยนต์รุ่นท็อป ให้กำลัง 190 แรงม้าที่ 3,600 รอบต่อนาที พร้อมด้วยแรงบิด 450 นิวตันเมตรที่ 1,600-2,600 รอบต่อนาที ระบบส่งกำลังแบบอัตโนมัติ 6 สปีด มาพร้อมทางเลือกระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยระบุว่าเครื่องยนต์รุ่นนี้ประหยัดน้ำมัน 8.0 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร
เครื่องยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและประหยัดน้ำมันมากขึ้น อุปกรณ์ด้านความสะดวกและความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นมา รวมไปถึงระบบความปลอดภัยต่าง ๆ ที่จัดเต็มมาก เหลือแค่เพียงราคาจำหน่ายที่ยังไม่ได้ประกาศ ซึ่ง AutoFun Thailand ได้ไปลองขับมาเบื้องต้น ก็พบว่าเป็นรถที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
เน้นการพัฒนารอบด้านเหนือการขายอย่างเดียว
ธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารฝ่ายการตลาดและรัฐกิจสัมพันธ์ เปิดเผยว่า ในปี 2564 มาสด้าจะเดินหน้าอย่างเต็มกำลัง พร้อมให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัล รวมถึงการเน้นย้ำด้านการบริการลูกค้าอย่างเต็มรูปแบบ
"มาสด้าได้ทำการปรับปรุงคุณภาพและราคาอะไหล่ จนสามารถใกล้เคียงกับตลาด หรือบางชิ้นส่วนมีราคาต่ำกว่า รวมถึงเพิ่มความสะดวกด้วยบริการจัดส่งอะไหล่ถึง 2 รอบต่อวัน ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ส่วนต่างจังหวัด 1 รอบต่อวัน พร้อมยกระดับคุณภาพการให้บริการอย่างเต็มที่"
ในปีนี้ มาสด้าได้ตั้งยอดขายไว้ที่ 5 หมื่นคัน ซึ่งไม่ใช่ยอดขายเพียงอย่างเดียว แต่คือการตั้งเป้าให้ทีมงานมาสด้าทั้งหมดต้องยกระดับและพัฒนาตนเองให้ก้าวไปสู่จุดนั้น เราจึงอยากให้ความสำคัญกับการทำตลาดมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจของมาสด้าในปี 2564