Lucid Air รถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติอเมริกัน ได้เปิดตัวแล้วเป็นที่เรียบร้อยเมื่อไม่นานมานี้ ที่ตื่นตาตื่นใจเลยคงจะเป็นระยะทางที่วิ่งได้ต่อหนึ่งการชาร์จที่เอาชนะ Tesla Model S ไปได้อย่างขาดลอยที่ระยะทาง 832 กม.
แต่อีกสิ่งที่ตื่นตาตื่นใจไม่แพ้กัน คือระบบช่วยเหลือการขับขี่ของ Lucid ที่เรียกว่า DreamDrive ซึ่งดูจากฟังก์ชั่นแล้วอาจจะเหมือนกับ Autopilot ของ Tesla(เทสลา)
หรือรถทั่วไปที่มีระบบช่วยเหลือการขับขี่ เช่น ระบบป้องกันการออกนอกเลน, ระบบเตือนและช่วยเบรค, ระบบเตือนจุดอับสัญญาณ ฯลฯ
แต่ถ้าดูจากสเปคแล้ว โอกาสที่ระบบนี้จะแม่นยำกว่า Autopilot มีความเป็นไปได้สูง
จากสเปคพบว่าอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยของ DreamDrive จะหลากหลายและมีมากกว่า Autopilot ซึ่งประกอบด้วยกล้อง เรดาร์ เซนเซอร์อัลตราโซนิค และ LiDAR(เจ้าแรกใน USA) รวมกันแล้วเป็น 32 จุด ซึ่งส่วนของเทสลาจะมีเพียงกล้อง 8 ตัวและเซนเซอร์อัลตราโซนิค 12 จุด รวมเป็น 20 จุดเท่านั้น
เซนเซอร์ทั้ง 32 จุดของ DreamDrive
มีหลายตำแหน่ง ดีอย่างไรบ้าง?
เซนเซอร์หลากรูปแบบทั้ง 32 ตัวของ DreamDrive ประกอบด้วยอะไรบ้าง
กล้อง 14 ตัว มีกล้อง 360 องศา 4 ตัว, กล้องจับสภาพผู้ขับ 1 ตัว, กล้องหน้า 3 ตัว, กล้องหลัง 2 ตัว และกล้องด้านข้าง 4 ตัว
เรดาร์ 5 ตัว
เซนเซอร์อัลตราโซนิค(Ultrasonic Sensor) 12 ตัว
LiDAR 1 ตัว
ในเรื่องของลำโพงก็เช่นกัน การที่ Lucid มีลำโพงถึง 21 ตำแหน่งเมื่อเทียบกับเทสลาที่มี 12 ตำแหน่ง
นอกจากช่วยเรื่องมิติของเครื่องเสียงที่สมจริงแล้ว ยังทำงานร่วมกับระบบการเตือนเพื่อความปลอดภัยอีกด้วย เช่น เมื่อมีรถใกล้จุดอับสายตาหรือใกล้การเกิดอุบัติเหตุ เสียงเตือนจะดังตามตำแหน่งที่เกิดเหตุ เพื่อให้ผู้ขับตอบสนองได้ทันในทิศทางที่ถูกต้อง
อ่านเพิ่มเติม : เทียบสเปค EV ระหว่าง Tesla Model S กับ Lucid Air น้องใหม่เปิดราคา แพงกว่าเทสล่าเกือบเท่าตัว
ระบบ Ethernet ใน DreamDrive
การตรวจจับสภาพผู้ขับขี่เป็นเรื่องที่สำคัญเช่นกัน DreamDrive มีกล้องจับสภาพผู้ขับ (Driver-Monitoring Camera) ตรวจจับว่าเรามองถนนหรือไม่ ซึ่งของ Autopilot จะเป็นเพียงเซนเซอร์บนพวงมาลัย
สเปคสุดล้ำทั้งหมดของ DreamDrive จะถูกเชื่อมกันด้วยระบบ ethernet ภายในรถจากมุมทั้ง 4 ของตัวรถด้วยความเร็วระดับ gigabit เพื่อรับข้อมูลจากเซนเซอร์และกล้องมาประมวลผลให้ผู้ขับได้อย่างรวดเร็วที่สุด
Autonomous Parking
ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นจะทำให้ DreamDrive มีความละเอียดมาก ทำให้เพิ่มความน่าสนใจของระบบจอดรถอัตโนมัติ(Autonomous Parking)
ซึ่งจะตรวจจับที่จอดรถให้พร้อมกับถอยจอดให้โดยไม่ต้องทำอะไรเลย และทาง Lucid เคลมว่าสามารถจอดได้แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากขนาดไหนก็ตาม
ก้าวสู่พาหนะไร้คนขับระดับ 3
ทั้ง DreamDrive และ Autopilot ตอนนี้ทำให้รถยนต์ตอนนี้เป็นพาหนะไร้คนขับระดับ 2(Autonomous Car Level 2) เป็นที่เรียบร้อย และมีบางฟังก์ชั่นที่ก้าวสู่ระดับ 3
DreamDrive มีระบบป้องกันการออกนอกเลนอยู่แล้ว แต่ถ้าระบบพร้อมจะมี Lane Change Assist ตามมา
ซึ่ง Autopilot ของเทสลาก็มีฟังก์ชั่นบางอย่างที่เข้าใกล้สู่ระดับ 3 เช่น ระบบเปลี่ยนเลนและเร่งแซงบนทางด่วน (Navigate on Autopilot/Auto Lane Change), ระบบเรียกรถจากที่จอดมาหาเรา(Summon) และ AutoPark ซึ่งเป็นระบบจอดรถคล้ายของ DreamDrive
ส่วน DreamDrive ก็มีไม่แพ้กัน การก้าวสู่ระดับที่ 3 จะเรียกว่า DreamDrive Pro ซึ่งไม่ต้องเอามือจับพวงมาลัยแล้ว ได้แก่ ระบบเปลี่ยนเลนและเร่งแซงบนทางด่วน(Lane Change Assist และระบบจอดรถอัตโนมัติ(Autonomous Parking) อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น
ในตอนนี้บางระบบยังไม่พร้อมที่จะปล่อยออกมา แต่ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะถ้าระบบเหล่านี้พร้อมเมื่อไหร่จะมีการอัพเดทแบบไร้สายให้อัตโนมัติ
อ่านเพิ่มเติม : Tesla ใจดี อาจให้ค่ายรถยนต์อื่นยืมระบบ Autopilot แต่จะดีจริงหรือเมื่อยังมีอุบัติเหตุให้เห็น
DreamDrive จะปลอดภัยไหมต้องลองขับ แต่ค่ายรถอื่นเคลื่อนไหวกันถึงไหนแล้ว?
ถึงแม้ราคาของรถที่มี DreamDrive อย่าง Lucid Air จะมากกว่า Tesla Model S ที่มี Autopilot อยู่พอสมควร
แต่เทสลาก็ได้เปรียบในแง่ของราคาและบางคนอาจไม่ต้องการระบบช่วยเหลือที่ดีขนาดนั้น แต่ Lucid Air ก็เป็นตัวเลือกที่ดีถ้าต้องการความปลอดภัยที่(ควร)จะมากกว่า
อยากให้ลองจินตนาการกันว่า ในตอนนี้เทคโนโลยีของรถยนต์นำไปไกลถึงขนาดมีเซนเซอร์กันถึง 32 จุด กล้อง 14 ตัว กันแล้ว แต่ก็มีรถยนต์ยี่ห้ออื่นที่มีเซนเซอร์ 8 จุด และกล้องเพียง 4 ตัว ในราคาที่อาจจะพอ ๆ กัน ก็อยู่ที่ผู้ซื้อแล้วว่าจะต้องการแบบไหน
อ่านเพิ่มเติม : 2021 Lucid Air เผยโฉมจริงออกสื่อแล้ว ชื่อเสียงที่โค่น Tesla ทำยอดจองทะลุ 13,000 คัน