2020 Nissan Almera (นิสสัน อัลเมร่า) คือความพยายามในการเอาตัวรอดต่อไปในตลาดรถยนต์นั่งเมืองไทยของแบรนด์นิสสัน หลังจากที่รถยนต์ รถกระบะหรือแม้แต่เอสยูวีหลาย ๆ รุ่นนั้นเข้ารกเข้าพงหลังการเปิดตัวไปตาม ๆ กัน เรียกว่ายังหาทางกลับสู่สมรภูมิการแข่งขันกันไม่ค่อยจะถูก

เอาจริง ๆ ถ้านับแต่ตัวสินค้าของนิสสันนั้นก็ถือว่าไม่ได้เลวร้ายอะไร มีการนำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามามากมาย แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาไปพลาดตรงไหน และหลาย ๆ รุ่นก็เลยจบลงด้วยการลดราคามโหฬารเป็นการซ้ำเติมเจ้าของรถที่ซื้อรถไปก่อนคนอื่นเสียอย่างนั้น

และแน่นอนว่าในนิสสัน อัลเมร่า ซึ่งเป็นอีโคคาร์ เฟสสอง คันแรกของค่ายก็มาพร้อมเทคโนโลยีมากหน้าหลายตาเหมือนกัน ด้วยราคาจำหน่ายของรุ่นท็อปอย่าง VL ที่เรานำมาทดลอง สนนราคาจำหน่าย 6.39 แสนบาทก่อนส่วนลดของดีลเลอร์ แต่ก็ให้ออพชั่นมาล้นเหลือกว่ารถของคู่แข่งที่แพงกว่า

AutoFun ชื่นชอบอุปกรณ์ตกแต่งและระบบช่วยเหลือด้านการขับขี่ในรถที่ให้มาอย่างครบครันแล้วไม่ต้องไปหาอะไรเพิ่ม เครื่องยนต์ 1.0 ลิตร เทอร์โบ ที่แม้จะไม่จี๊ดจ๊าดเหมือนของอีกค่าย แต่ก็รับประกันความมันในการขับขี่ได้อย่างไม่ลำบากยากเย็นอะไร แถมยังเรียกพลังในการขับขี่ได้อย่างต่อเนื่อง

และแม้พวกเขาจะปรับภาพลักษณ์ของรถไปอย่าดุดันเฉียบคมเพื่อเน้นการเจาะกลุ่มวัยรุ่นเพิ่มขึ้น แต่อัลเมร่าก็ยังไม่ได้ละทิ้งจุดเดิมที่มีอย่างพื้นที่ห้องโดยสารที่กว้างขวางสะดวกสบาย การเข้าออกห้องโดยสารที่ทำได้โดยสะดวก รวมไปถึงช่วงล่างที่ยังสะดวกสบายดีอยู่ ถือเป็นรถที่คุ้มค่าที่สุดอีกคันหนึ่งเลย

2020 Nissan Almera การพลิกโฉมและการตัดสินใจเพื่ออนาคต

นิสสัน อัลเมร่าโฉมเดิมนั้น แม้จะมียอดขายไม่ได้เลวร้าย และผู้ใช้งานต่างก็นิยมชมชอบในความเป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็กที่มีความกว้างขวางใช้งานได้ดี มีอุปกรณ์มาให้พอตัว ทำให้พวกเขาพอจะมองข้ามความอืดอาดของเครื่องยนต์รุ่นเดิมไปได้ และมองว่าเป็นรถที่เหมาะสมกับการใช้งานในเมืองเป็นหลัก

อย่างไรก็ตาม เมื่อตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็กได้รับความนิยมในวงกว้างขวาง และตลาดโลกเองก็ต้องการรถยนต์ในรูปแบบนี้ ทำให้นิสสันทำการปรับรูปโฉมของรถเสียใหม่เป็นรถที่มีภาพลักษณ์สปอร์ต เจาะตลาดวงกว้างได้มากขึ้น และแน่นอนว่าขยายไปรองรับความต้องการของลูกค้าหลายกลุ่ม

นอกจากหน้าตาที่ดุดันแล้ว นิสสันเองก็ต้องเลือกเครื่องยนต์ที่เหมาะสมกับการทำตลาดในประเทศไทย ทั้งเรื่องสมรรถนะการขับขี่ การทำให้ 2020 Nissan Almera (นิสสัน อัลเมร่า) นี้ผ่านมาตรฐานไอเสียและการประหยัดน้ำมันอันเข้มงวด รวมไปถึงการทำราคาจำหน่ายที่ต้องคุ้มค่ากว่าคู่แข่ง ก็ทำให้รถคันนี้มีจุดดีและจุดด้อยมากมาย

มิติตัวถังใหญ่ขึ้นและการตกแต่งที่เฉียบคม

ขนาดตัวถังของ Nissan Almera ใหม่ ที่มาพร้อมรหัส N18 นั้นใหญ่โตขึ้นในเกือบทุกมิติเมื่อเทียบกับรุ่นเดิม โดยมาพร้อมความกว้าง 1,740 มิลลิเมตร ยาว 4,495 มิลลิเมตร สูง 1,460 มิลลิเมตร และมีความยาวฐานล้อ 2,620 มิลลิเมตร ความสูงใต้ท้องรถ 135 มิลลิเมตร มีน้ำหนักรวม 1,076 กิโลกรัมในรุ่นท็อป พร้อมถังน้ำมันที่ลดลงเหลือ 35 ลิตร

ขนาดตัวถังดังกล่าวทำให้รถคันนี้มีความกว้างยาวและฐานล้อที่ใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นเดิม โดยตัวรถมีความกว้างขึ้น 45 มิลลิเมตร ยาวขึ้น 70 มิลลิเมตร ฐานล้อยาวขึ้นอีก 20 มิลลิเมตร มีเพียงความสูงของตัวรถที่ออกแบบมาแบบสปอร์ตลู่ลมเท่านั้น ที่ทำให้ลดความสูงลงไป 40 มิลลิเมตร เพื่อให้รองรับกับการออกแบบแนวสปอร์ตที่เติมเข้ามา

การออกแบบภายนอกถือเป็นงานที่ท้าทายมากสำหรับนิสสัน เพราะพวกเขาต้องออกแบบรถคันนี้ขึ้นมาใหม่ เน้นที่ความปราดเปรียว ดูแล้วต้องรู้สึกว่ารถสวยและทันสมัยขึ้น ทำให้นิสสันตัดสินใจออกแบบรถด้วยการขยายแนวกว้างของตัวรถออก พร้อมดึงชิ้นส่วนต่าง ๆ ให้ยืดออกตามไปด้วย พร้อมขยับล้อไปชิดกันชนให้มากกว่าเดิม

การออกแบบตามแนวทางที่เรียกว่า Emotional Geometry เป็นการออกแบบเพื่อให้รถที่ดูเพรียว ลู่ลม มีความเคลื่อนไหวและสปอร์ตมากขึ้น พวกเขาได้นำเอกลักษณ์ที่โดดเด่นมาใช้ในรถคันนี้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้าวี-โมชั่น ไฟหน้าที่มาพร้อมแถบไฟทรงบูมเมอแรง ที่ดูลงตัวและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับไฟท้ายรูปทรงคล้าย ๆ กัน

นิสสันติดตั้งแถบสีดำไปที่เสาหลังคาตอนหลังเพื่อสร้าง Floating Roof หลังคาที่ดูเหมือนลอยตัวอยู่ ล้ออัลลอยรุ่นที่วางขายเป็นขนาด 15 นิ้ว พร้อมยาง 195/65 R15 การออกแบบโดยรอบคันตอบโจทย์เรื่องความสปอร์ตที่มากขึ้นกว่าเดิม และหากต้องการมากกว่านี้ มีออพชั่นล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว พร้อมยาง 205/50 R16 ให้จ่ายเงินเพิ่ม

2020 Nissan Almera ห้องโดยสารภายในพร้อมใช้งาน

ห้องโดยสารภายในออกแบบมาอย่างทันสมัย มีการติดตั้งอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับการขับขี่รถยนต์ยุคนี้เข้ามามากมาย แถมยังให้เบาะโดยสารที่รับน้ำหนักดี และมีการล็อคตัวผู้ขับขี่และผู้โดยสารให้อยู่กับเบาะได้มากกว่า ซึ่งโดยส่วนตัวผมชอบเบาะที่นั่งแนว ๆ นี้มากกว่าเบาะแบแบ ไม่รับน้ำหนักอะไรทั้งสิ้น ทำให้ให้คะแนนอัลเมร่าในเรื่องนี้

เบาะที่นั่งหุ้มด้วยผ้า มาพร้อมการเล่นแถบลายผ้าสีขาวเพื่อให้ดูไม่น่าเบื่อ แต่เลอะง่ายแน่นอน ปรับความสูงต่ำได้ มาพร้อมพวงมาลัยแบบปรับได้ 4 ทิศทาง เข็มขัดนิรภัยสำหรับผู้โดยสารทุกตำแหน่ง ที่ยังไม่สามารถปรับระดับสูงต่ำได้ ตำแหน่งการนั่งนั้นขึ้น-ลงรถได้สบาย เพราะตำแหน่งเบาะอยู่ค่อนข้างสูง ทำให้เวลาเข้า-ออกห้องโดยสารต้องก้มตัวหน่อย

เบาะหลังนั้นถือเป็นจุดที่อัลเมร่าพยายามขายมาตลอดตั้งแต่รุ่นเดิม โดยในรุ่นนี้ พวกเขาคุยว่าได้มีการปรับเพิ่มความกว้างของเบาะรองนั่งขึ้นมาอีก 42 มิลลิเมตร พร้อมกดเบาะให้ต่ำและเอนมากขึ้นจนได้เฮดรูมเพิ่มมาอีก 8 มิลลิเมตร ทำให้ไม่มีผลแม้ตัวรถจะเตี้ยลงมา ซึ่งก็เป็นไปอย่างที่เขาบอกล่ะครับ เบาะหลังรองรับการโดยสารได้ดีแบบไม่มีอะไรติดขัด

ภายในห้องโดยสารเหมือนทุบของเดิมทิ้งแล้วเปลี่ยนใหม่ ให้ดูทันสมัย สปอร์ต และวัยรุ่นขึ้นอย่างชัดเจน มาพร้อมพวงมาลัยแบบปลายตัด มาพร้อปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียงและโทรศัพท์ติดตั้งมาให้เรียบร้อย สิ่งที่อาจจะดูขัด ๆ ตาไปบ้างในความรู้สึกของผมก็คือเจ้าแผงคอนโซลสีขาวอมครีมที่ให้มา ถ้าให้มาเป็นสีเข้มดูน่าจะสปอร์ตดุดันกว่า

ชุดเครื่องเสียงที่มาพร้อมหน้าจอ 8 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อมากมาย ทั้ง Nissan CONNECT หรือจะเชื่อมต่อผ่าน Apple CarPlay/Android Auto ก็ทำได้อย่างง่ายดาย หน้าจอนั้นเอาไว้ใช้กับระบบกล้อง 360 องศาด้วย ทำให้มองข้อมูลได้ชัดเจน แถมจอที่ให้มานั้น เป็นจอที่สัมผัสแล้วไม่เป็นรอยง่ายเสียด้วย ยกเว้นแต่มือคุณจะเลอะอะไรจริง ๆ ถึงจะทิ้งรอยไว้มากได้

การตอบสนองของรถที่เติบโตแบบก้าวกระโดด

นิสสัน อัลเมร่า ในประเทศไทยมาพร้อมเครื่องยนต์รหัส HRA0 ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ที่ถูกนำมาปรับแต่งเพื่อให้ลดมลภาวะเพื่อให้เข้ากับโครงการอีโคคาร์ เฟสสอง โดยเฉพาะ โดยเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ ปริมาตรกระบอกสูบ 999 ซีซี. พร้อมระบบแปรผันวาล์วเฉพาะฝั่งไอดี พ่วงระบบอัดอากาศ ซึ่งนิสสันเคลมว่าทั้งแรงและประหยัด

เครื่องยนต์รุ่นนี้ เมื่อมาติดตั้งในอัลเมร่าใหม่จะให้กำลังสูงสุด 100 แรงม้าที่ 5,000 รอบต่อนาที พร้อมด้วยแรงบิดสูงสุด 152 นิวตันเมตรที่ 2,400 – 4,000 รอบต่อนาที มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ XTRONIC CVT รองรับเชื้อเพลิงสูงสุดแก๊สโซฮอล์ อี20 ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 100 กรัม/กิโลเมตร ผ่านมาตรฐานไอเสีย Euro 5 ตามที่กำหนดไว้

ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบอิสระแม็คเฟอร์สัน สตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม พร้อมเหล็กกันโคลง มาพร้อมพวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พิเนียนระบบผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า ระบบเบรก ด้านหน้าเป็นดิสก์เบรก มีร่องระบายความร้อน ด้านหลังเป็นดรัมเบรก ซึ่งถือเป็นการเลือกใช้งานที่ไม่ได้แตกต่างอะไรจากบรรดาเพื่อนร่วมเซกเมนต์

การตอบสนองของเครื่องยนต์นั้นอาจจะดูอุ้ยอ้ายในช่วงออกตัว ที่เหลือถือว่าทำได้อย่างดี ถ้าจะนับจริง ๆ ก็ต้องบอกว่าการตอบสนองของการขับขี่นั้นเป็นรองก็เพียงคู่แข่งสายตรงอย่าง Honda City (ฮอนด้า ซิตี้) ที่ให้การตอบสนองการขับขี่มาอย่างครบถ้วนกระบวนความ เรียกว่าตีกินกันตั้งแต่ออกตัวยันความเร็วสูงสุดที่ทำได้

ในส่วนของช่วงล่างของรถนั้นมีการเซตอัพให้มีความสปอร์ตขึ้นเล็กน้อยตามหน้าตาของรถ เพราะฉะนั้นมันจะไม่นุ่มนวลชวนฝันเหมือนอัลเมร่าตัวเก่า แต่การรองรับแรงสะเทือนของรถและการยึดเกาะถนนกลับทำได้ดี น่าจะเบียดซิตี้อยู่นิด ๆ เสียด้วยซ้ำ เอาเป็นว่าที่ความเร็วสูงนั้น ขับอัลเมร่าแล้วจะเกิดอาการตึงเครียดที่น้อยกว่านิดหน่อย

การเซตอัพพวงมาลัยนั้นอาจจะต้องอาศัยความเคยชินในการขับรถบ้างเพื่อให้ควบคุมรถได้ดีขึ้น เพราะพวงมาลัยให้ความหนืดที่ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าไหร่ อาจจะต้องมีหมุนช่วยกันสักเล็กน้อย ขณะที่เบรกนั้นมีระยะเหยียบแป้นเบรกที่สั้นลง แต่หากเบรกอย่างรวดเร็วก็จะมีอาการหน้าจิกให้เห็นอย่างชัดเจน แต่หยุดชะงักทันใจแน่นอน

การเก็บเสียงของตัวรถทำได้ดีที่พื้นรถด้านหน้า แต่กระจกมองข้างนั้นยังส่งเสียงโอดครวญอย่างประหลาดที่แถว ๆ ความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเป็นต้นไป ซึ่งเอาจริง ๆ คนที่ใช้งานรถคันนี้แต่ในเมืองจะรู้สึกว่ารถมันเงียบเลยล่ะ ยกเว้นเวลาออกไปทางไกลถึงจะรู้สึก แต่โดยรวม ๆ ผมก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญอะไรจากเสียงที่เข้ามาในรถหรอกนะ

ของเล่นที่ให้มาอย่างเต็มที่เหนือคู่แข่ง

แม้นิสสันจะเลือกใช้เครื่องยนต์ที่หลาย ๆ คนอาจจะมองว่ามันไม่สามารถเทียบเคียงกับคู่แข่งอย่างฮอนด้าได้ก็ตาม แต่หากมองในมุมของค่ายรถที่ต้องตัดสินใจเลือกแล้ว เดาใจว่านิสสันคงเลือกที่จะเอาใจผู้บริโภคด้วยความแตกต่างของสินค้า ด้วยการใส่ระบบและของเล่นต่าง ๆ เข้ามาในรุ่นท็อปอย่างเต็มพิกัด ด้วยราคาที่คบหาได้อย่างสบายใจ

อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ในเวลาประมาณ 13 วินาที ขณะที่อัตราสิ้นเปลืองตามโหมดการขับขี่แบบใช้งานประจำวันในเมืองหลวง มีออกนอกเมืองบ้างนิดหน่อย หน้าปัดดิจิตอลบอกว่าอัลเมร่าที่อยู่กับผมมีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยแถว ๆ 15-16 กิโลเมตรต่อลิตร ก็ประมาณว่าเติมน้ำมันเต็มถังก็วิ่ง 500 กิโลเมตรได้สบาย ๆ

ถ้าตัวเลขดังกล่าวยังไม่ดึงดูดใจพอ ขอพาไปดูของเล่นต่าง ๆ ที่ติดตั้งมาให้ อุปกรณ์และระบบบางตัวนั้นเป็นไปตามข้อบังคับของอีโคคาร์ เฟสสอง ไม่ว่าจะเป็นระบบป้องกันล้อล็อก ระบบกระจายแรงเบรก ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว พร้อมระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชันในทุกรุ่นย่อย พร้อมด้วยถุงลมนิรภัยขั้นพื้นฐาน 2 ตำแหน่งคู่หน้า

แต่ถ้าซื้อรุ่นท็อปจะได้อัพเกรดจำนวนถุงลมนิรภัยขึ้นเป็น 6 ตำแหน่ง แถมยังได้ระบบเตือนก่อนการชนด้านหน้า พร้อมระบบเบรกฉุกเฉิน ที่ทำงานตั้งแต่ความเร็ว 5 กิโลเมตรต่อชั่วโมงมาให้ พร้อมด้วยกล้องมองภาพแบบ 360 องศา พร้อมระบบตรวจจับการเคลื่อนไหวของวัตถุรอบคัน ที่ทำงานได้ดีทั้งการช่วยถอยจอดและการส่องอุปสรรคกีดขวางการขับขี่

นอกจากนี้ ในรุ่นท็อปยังมาพร้อมระบบความปลอดภัยที่เหนือชั้นไปอีกขั้น ด้วยระบบเตือนวัตถุในจุดอับ ซึ่งส่งสัญญาณเตือนที่กระจกมองข้าง รวมไปถึงระบบตรวจจับและเตือนวัตถุด้านหลังเมื่อถอยหลัง ซึ่งเป็นระบบที่ติดตั้งมาให้ในรุ่นท็อปเท่านั้น และเป็นระบบที่ยังไม่มีคู่แข่งรายไหนให้มาในรถเซกเมนต์นี้ แม้จะมีราคาจำหน่ายที่แพงกว่าก็ตาม

อีโคคาร์สายอุปกรณ์ ใครขาซิ่งมากไปทางอื่น

เมื่อนิสสันตัดสินใจที่จะเลือกเครื่องยนต์รุ่นนี้มาทำการปรับปรุงให้ผ่านมาตรฐานของอีโคคาร์ ทีมงานของพวกเขาคงตัดสินใจแล้วว่าสมรรถนะแบบนี้ล่ะ เพียงพอต่อการใช้งานในรูปแบบของอีโคคาร์จริง ๆ แล้ว เอางบประมาณส่วนที่เหลือไปใส่ของเล่น อุปกรณ์เพิ่มเข้ามา เพื่อให้ลูกค้าตกอยู่ในหลุมของความคุ้มค่า ดีกว่าที่จะไปเอาเครื่องแรง ๆ แพง ๆ มาใช้

ถามว่าเป็นความคิดที่ถูกหรือไม่ คำตอบอยู่บนท้องถนน แม้ตัวเลขยอดขายของอัลเมร่านั้นจะไม่สามารถเทียบเคียงกับซิตี้ได้เลย แต่ก็ต้องยอมรับว่าอัลเมร่าเป็นรถที่เราเห็นกันอย่างคุ้นตามากที่สุดรุ่นหนึ่งของนิสสันในขณะนี้ และผลการตอบรับของลูกค้านั้นก็ดูจะมีความพึงพอใจกับรถยนต์รุ่นนี้อยู่มากเหมือนกัน เมื่อเช็คกระแสตอบรับในโลกออนไลน์ทั่ว ๆ ไป

จุดขายของอัลเมร่านั้น แน่นอนว่าจะต้องเป็นบรรดาอุปกรณ์และของเล่นที่เรียกว่าใส่มาเต็มพิกัด จนเหนือกว่าผู้นำตลาดด้านยอดขายเสียด้วยซ้ำ ขณะที่ด้านการขับขี่นั้น ก็ยังดีกว่ารถยนต์อีโคคาร์หลาย ๆ รุ่นที่ทำตลาดอยู่ เพียงแต่เมื่อคู่เทียบของอัลเมร่าคือซิตี้ ที่ตอบสนองด้านการขับขี่ได้อย่างจี๊ดจ๊าดดีเหลือเกิน จึงไม่แปลกที่จะกลายเป็นจุดอ่อนไปอย่างกลาย ๆ

นิสสันเองก็คงรู้อยู่แล้วว่าการเปิดตัวอีโคคาร์ เฟสสอง ในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับฮอนด้า ซิตี้นั้น มีความเสี่ยงขนาดไหน และพวกเขาก็เดินเกมด้วยการสร้างการแข่งขันใหม่ในเกมของตัวเองขึ้นมา ด้วยออพชั่นที่หรูหรากว่า ใช้งานได้จริง และเป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับผู้บริโภคในยุคนี้ ที่หากมองเรื่องความคุ้มค่าเป็นหลักนั้น ก็ไม่อาจที่จะมองข้ามไปได้ง่าย ๆ เหมือนกัน

ถ้าจะให้สรุปก็คือ ถ้าคุณเป็นคนที่ใช้งานในชีวิตประจำวัน ไม่ได้เน้นการขับขี่ที่หวือหวาจี๊ดจ๊าด แต่เน้นรถที่ตอบสนองความต้องการได้หลากหลาย มีของเล่นให้เพียบ จนไม่รู้ว่าถ้ามีอัพเกรดอีกครั้งจะใส่อะไรมาให้อีก นอกเหนือไปจากระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ 2020 Nissan Almera (นิสสัน อัลเมร่า) ก็คงเหมาะกับการใช้งานแบบนี้ แต่หากต้องการความดุเดือดของเครื่องยนต์มาก ๆ ก็อาจจะต้องไปมองคู่แข่งคันอื่น

ทั้งหมดอยู่ที่การใช้งานและการเลือกของคุณล้วน ๆ เลย... 

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

• เปรียบเทียบตัวต่อตัว Nissan Almera ปะทะ Honda City
• Pros and Cons: 2020 Nissan Almera
• Full Review: 2020 Honda City SV 122 แรงม้า
• 5 สิ่งที่น่าสนใจใน 2020 Honda Ciy