การมีรถ PPV นั้นคือรถบุฟเฟ่ต์ในความคิดหลายคนไทย เพราะจ่ายทีเดียวสามารถทำได้หมดตั้งแต่ วิ่งคลานในเมืองเกือบตลอดปี มีเพียงวันหยุดยาวไม่กี่วันต่อปีเท่านั้น ที่จะได้นำรถร่างยักษ์นี้ออกไปแซ่บทางไกล ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เพราะคนส่วนใหญ่รวมถึงผู้เขียนเองไม่มีตังค์ซื้อรถหลายคันรองรับทุกโจทย์ และไม่อยากไปเช่ารถเที่ยวเอา ดังนั้นการมีรถใหญ่ที่เผื่อไว้ขับในโอกาสที่ได้ใช้ปีละ 2-3 ครั้งเท่านั้น ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
2021 Ford Everest (ฟอร์ด เอเวอเรสต์) เป็นอีกหนึ่ง PPV ที่ขายดีใน 3 อันดับบนสุดของตลาดประเภทนี้ ทีมงานคิดว่า กลุ่มลูกค้าที่ซื้อรถระดับล้านบาทได้นั้น คงไม่ได้มีชีวิตอยู่ติดป่าเขาแน่นอน แต่เพียงแค่ใช้ขับครอบจักรวาล เน้นความคุ้มค่าที่สุด เราจึงเลือกทดสอบรุ่นย่อยที่อัพเกรดจาก Trend ล่างสุด ขึ้นมาเป็นตัวเริ่มต้นของ Titanium แบบขับเคลื่อน 2 ล้อ ขายราคา 1.439 ล้านบาท ที่มีสีเฉดใหม่คือ สีขาว สโนว์เฟลก ไวท์ เพิร์ล คันนี้นี่เอง
ราคา Ford Everest 2021 |
|
Trend |
1,299,000 บาท |
Titanium |
1,399,000 บาท |
Titanium Sport |
1,429,000 บาท |
Titanium+ 4x2 |
1,599,000 บาท |
Titanium+ 4x4 |
1,799,000 บาท |
รูปทรงภายนอก สวยแบบลูกผสม
คนส่วนใหญ่ที่ซื้อรถรุ่นขับสองแบบนี้ ไม่ใช่คนที่ชอบเอารถไปลงกรวดหรือเลอะโคลน แค่ใช้ขับในเมืองให้ดูตัวใหญ่กว่าใครท่ามกลางอีโค่คาร์ ดังนั้นรูปทรงไม่จำเป็นต้องหน้าบึ้ง หรือดูถึกทุย พร้อมจะกินรถคันหน้าอยู่ตลอดเวลา ฟอร์ดจึงใส่กระจังหน้าที่มีลวดลายละเอียดอ่อนขึ้น พร้อมใส่ของแต่งใหม่อย่างรู้ใจคน
ด้วยกระจังหน้าลายใหม่ แบบตะแกรงไขว้ เล่นรูปทรงนูนต่ำ 3 มิติ ทำให้มองมุมตรงกับมุมเฉียง จะเห็นลวดลายต่างกัน อันเป็นเทรนด์ยอดนิยมในรถหรูราคาแพง อีกทั้งยังเพิ่มตัวอักษรบนขอบฝากระโปรงรถ เพื่อเอาใจพวกชอบแต่งรถ ที่มักจะไปซื้อตัวอักษรจากร้านประดับยนต์มาติด แต่ในเอเวอเรสต์รุ่นใหม่นี้ ถูกใส่มาให้จากโรงงาน เป็นเส้นนูนต่ำที่มีขนาดบางและออกแบบแข็งแรง แตกต่างจากของแต่งทั่วไป
แต่นอกจากกระจังหน้ากับอักษรขอบฝากระโปรงแล้ว อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงชัดเจน ยังคงรูปร่างเหลียมสัน หนักหักท้ายตั้ง ซึ่งเสียเปรียบคู่แข่งจากญี่ปุ่นที่ปรับปรุงรูปร่างหน้าเทท้ายเฉียง ดูสปอร์ตตามสมัยนิยมมากกว่าฟอร์ด
ออพชั่นสมฐานะ เด่นที่ฝาท้ายไฟฟ้า
การตกแต่งภายในโทนสีดำ/เงิน ดูเรียบๆ ไม่หรูหราหรือสปอร์ตตามลายกระจังหน้า ออพชั่นให้แอร์ออโต้ จอสัมผัส 8 นิ้วที่รองรับสมาร์ทโฟนทุกระบบเป็นพื้นฐาน เพิ่มเติมจากรุ่นล่างขึ้นมาด้วยฝาท้ายแฮนด์ฟรีเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า กับเบาะปรับไฟฟ้า 6 ทิศทางพร้อมดันหลัง ให้ดูหรูขึ้นเล็กน้อย แต่ต้องทำใจว่ายังไม่มีเบาะแถว 3 พับไฟฟ้า เพราะเป็นรุ่นเกือบล่างสุด
แต่เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Isuzu MU-X ในระดับราคาใกล้เคียงกัน ก็ต้องเพิ่มเงิน 35,000 บาท จะได้จอสัมผัส 9 นิ้วรับได้ทุกระบบเหมือนกัน ได้เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง เบาะคนนั่งก็ปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง พร้อมการตกแต่งโทนสีน้ำตาล/ดำ หรือเทียบกับ Toyota Fortuner ที่มีดีไซน์ภายในและตกแต่งดูหรูหรากว่าในราคาเท่ากัน นี่คือจุดที่ทำให้ลูกค้าคิดหนัก หากจะซื้อรถค่ายมะกันนี้
เครื่องยนต์แก้ไขทอร์คไม่ขาดแล้วนะ
ยอมรับมาเถอะว่า สิ่งที่หลายคนกลัวไม่กล้าซื้อ Ford Everest นั่นคือกลัวเรื่องระบบเครื่องยนต์และเกียร์ โดยรุ่นไมเนอร์เชนจ์นี้ เป็นการปรับแก้ปัญหาหมดแล้ว แถมยังกล้ารับประกันเครื่องยนต์ และระบบส่งกำลังรวม 10 ปี หรือ 150,000 กม. ความมั่นใจนี้มาจากการเชื่อมน็อตทอร์คคอนเวิร์ตเตอร์ใหม่ ทำให้เหล็กนั้นขาดยากกว่าเดิม ซึ่งไม่ใช่แค่การพูดลอยๆ เพราะเราไปลองของมาแล้ว
การขับขี่ในชีวิตจริง เราลองบดขยี้คันเร่งทั้งแบบกระชาก และแบบคิกดาวน์กะทันหัน ซึ่งคิดว่านี่คือสถาณการณ์เลวร้ายสุดเท่าที่จะเกิดขึ้นกับผู้ขับทั่วไปที่ไม่รู้เรื่องกลไกรถมากนัก โดยการกระชากนั้นถูกระบบป้องกันล้อฟรีทำงานได้ฉับไว การคิกดาวน์ก็ลดลงได้ทันใจไม่ต้องคิดนานเป็นวินาที เรียกแรงออกมาได้อย่างไม่มีท้ายปัด(บนถนนแห้ง) ซึ่งเป็นความแรงแบบที่ ค่ายญี่ปุ่นคู่แข่งในระดับราคา 1.4 ล้านยังให้ความแรงไม่ถึงขนาดนี้
ช่วงล่างยังขึ้นชื่อความหนึบ
ด้านการทรงตัวซึ่งเป็นสิ่งขึ้นชื่อมาก่อนในกระบะเรนเจอร์ พอถูกแปลงเป็นรถอเนกประสงค์ใส่คอล์ยสปริง ก็เซ็ตสปริงมาให้เต้นน้อย ช่วงหลังยุบได้สั้น และโช้คหนืดกว่ากระบะไปอีก ซึ่งให้ความรู้สึกแบบกระแทกครั้งเดียวหยุด ไม่มีการเต้นขึ้นลง และไม่มีการเลื้อยโงนเงนไปมาหลายครั้ง ส่วนด้านหน้าเซ็ตมานิ่ม เบรคแล้วหน้าทิ่มง่าย แต่ยังสามารถรูดคอสะพานที่ความเร็ว 100 กม./ชม.ได้สบายๆ โดยที่พวงมาลัยแปรผันน้ำหนักยังสามารถจับถนนได้อยู่
ระบบความปลอดภัย มีเท่าที่จำเป็น
2021 Ford Everest รุ่นย่อยรองโหล่นี้ ไร้ระบบช่วยการขับขี่ พวกสารพัดการเตือนทั้งหลาย แต่ก็ไม่โล้นไปหมด เพราะยังได้ระบบช่วยทรงตัว ช่วยออกตัวขึ้นเนิน กล้องมองหลัง กับถุงลม 7 ใบมาให้เป็นพื้นฐาน และยังมีครูซคอนโทรล(ไม่แปรผัน) กับไฟหน้าอัตโนมัติ เพิ่มมาให้จากรุ่นล่างสุด พอให้รู้สึกถึงความคุ้มค่าเล็กน้อย
แต่เมื่อเทียบคู่แข่งที่สดใหม่กว่าอย่าง Isuzu MU-X รุ่นท็อปของตัว 1.9 ที่เพิ่มเงินจากฟอร์ด เอเวอร์เรส 35,000 บาท จะได้รับระบบเบรคอัตโนมัติ ระบบช่วยลงทางลาด และระบบเตือนจุดอับสายตามาครบเเล้ว หรือเมื่อเทียบกับ Toyota Fortuner เขาก็ให้ถุงลม 7 ใบมาเสมอกัน และมีระบบควบคุมต่างๆ ให้ทัดเทียมกัน ไม่ได้ด้อยไปกว่าฟอร์ดเหมือนในอดีตอีกต่อไป
รถทำมาให้บรรทุก ทำใจเมื่อขับคนเดียว
ยังยืนยันตามบทนำว่า คนไทยชอบใช้รถผิดประเภท ซื้อรถมาเผื่อการใช้งานที่หลากหลายมากเกินไป จนไม่มีรถรุ่นใดเซ็ตค่ามาครอบจักรวาลได้ขนาดนั้น ตั้งแต่การขับคลานในเมือง จนไปถึงขนภาระหนักขึ้นเขา แม้ว่า ฟอร์ด เอเวอร์เรส จะพยายามดีที่สุดแล้วในการเซ็ตค่ารถ แต่ก็ต้องทำใจเมื่อขับคนเดียว เพราะรถเบาแล้วยังมีการดีดตัวเป็นปกติเทียบเท่ากับคู่แข่งค่ายญี่ปุ่น ในรุ่นที่หลายคนติดภาพว่าต้องย้วย ดังนั้นการซื้อรถประเภทนี้แล้วขับคนเดียว ต้องเผื่อใจรับกับความเด้งไว้ส่วนหนึ่งด้วย
ฟอร์ด เอเวอเรสต์ รุ่นไมเนอร์เชนจ์นี้ ยังเป็น PPV ที่น่าสนใจ แต่ความน่าสนใจอาจจะไม่ได้มากเท่าแต่ก่อนตอนออกใหม่ เพราะปัจจุบันค่ายคู่แข่งต่างก็พัฒนาทั้งรูปร่างที่สวยสปอร์ตกว่า มีออพชั่นจัดมาให้ใกล้เคียงกันมากขึ้น พร้อมเครื่องยนต์และเกียร์แบบญี่ปุ่นที่ไม่มีปัญหาหนักให้แก้ไขใดๆ จึงทำให้กว่าฟอร์ดจะปรับปรุงสำเร็จได้แล้วในรุ่นนี้ แต่คู่แข่งก็ตีตื้นมา ในราคาที่ต่างกันไม่มาก
นอกเสียจากว่าคุณชอบความแรงและหนึบหนับหาตัวจับยากแบบนี้ ก็เหมาะกับการเลือก 2021 ฟอร์ด เอเวเรสต์ แต่ถ้าชอบความบุฟเฟ่ต์ครอบจักรวาล ขอแนะนำว่า ลองไปขับรถค่ายญี่ปุ่นรุ่นใหม่ในระดับเดียวกันซะก่อน แล้วจะได้ลบภาพจำเดิมๆ ออกไปก่อนตัดสินใจซื้อครับ
ข้อมูลทางเทคนิค 2021 Ford Everest Titanium 4x2 | |
---|---|
เครื่องยนต์ | ดีเซล เทอร์โบ |
กำลัง (แรงม้า/รอบต่อนาที) | 180 / 3,500 |
แรงบิด (นิวตัน-เมตร/รอบต่อนาที) | 420 / 1,750-2,500 |
เกียร์ | อัตโนมัติ 10 สปีด |
ช่วงล่างหน้า | อิสระปีกนกคู่ คอยสปริง และกันโคลง |
ช่วงล่างหลัง | คอยสปริง พร้อมวัตต์ลิ้งค์ และกันโคลง |